วันอังคาร, ธันวาคม 19, 2566

เงินคอร์รัปชันมีมากแค่ไหนในแต่ละปี?


"...เงินบาปประเภทนี้รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท แม้ควักล้วงจากกระเป๋าชาวบ้านแต่สุดท้ายย่อมส่งผลร้ายต่อบ้านเมือง คนไร้เส้นสาย คนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แน่นอนว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ “คนจน”..."

เงินคอร์รัปชันมีมากแค่ไหนในแต่ละปี?

12 ธันวาคม 2566
มานะ นิมิตรมงคล
สำนักข่าวอิศรา

เงินบาปจากคอร์รัปชันในภาครัฐราว 5 แสนล้านบาทต่อปี เกิดจากกลโกง 3 ประเภท “โกงหลวง ฉ้อราษฎร์ และกัดกินกันเอง” ความเสียหายนี้ยังไม่รวมความเดือดร้อนและผลกระทบต่อประเทศชาติ ประชาชน คนทำมาค้าขายที่ตามมาอีกมากมาย

1.โกงหลวง

1.1 เงินทอนในการจัดซื้อจัดจ้าง มีมูลค่า 2 – 3 แสนล้านบาทต่อปี เป็นความสูญเสียจากเงินทอนหรือเงินใต้โต๊ะในอัตราเฉลี่ย 20% - 30% ของงบลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐทุกประเภท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจมากหรือน้อยกว่านี้ตามยุคสมัย

1.2 เอาเปรียบรัฐ เช่น หน่วยงานรัฐให้การอุดหนุนเอกชนเกินจำเป็นในโครงการ พีพีพี, ขยายอายุสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่เหมาะสม การไฟฟ้าฯ ลงทุนหลายพันล้านบาทสร้างเสาไฟฟ้าแรงสูงเพื่อรองรับการซื้อกระแสไฟฟ้าจากเอกชนรายเดียว รับซื้อกระแสไฟฟ้าจากเอกชนราคาแพงและซื้อมากเกินจำเป็น เก็บค่าภาคหลวงจากสัมปทานเหมืองแร่ต่ำเกินจริง ปล่อยเช่าที่ราชพัสดุราคาถูกๆ ฯลฯ การเอาทรัพยากรของรัฐไปเอื้อเอกชนเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐมักอ้างเหตุผลเกินจริงและปิดบังข้อมูลสำคัญ จึงยากที่จะสังคมจะเข้าใจ และศึกษามูลค่าความเสียหายที่แท้จริง

1.3 ขโมยหรือยักยอกเงินหลวง เช่น ยักยอกเงินค่าเข้าอุทยานแห่งชาติที่เก็บจากนักท่องเที่ยวหรือไม่เก็บแต่เรียกรับใต้โต๊ะจากบริษัทนำเที่ยว โกง “เงินอุดหนุน” ตามนโยบายของรัฐ เช่น กรณีเงินทอนวัด เงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ เงินกองทุนหมุนเวียน เช่น ทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ ของกระทรวงศึกษาฯ สหกรณ์และกองทุนกู้ยืมต่างๆ เป็นต้น พฤติกรรมประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไปมีมูลค่าหลักพันบาทจนถึงหลายร้อยล้านบาทต่อกรณี

2. ฉ้อราษฎร์ เช่น แปะเจี๊ยะ ส่วย ค่าวิ่งเต้นล้มคดี ฯลฯ

2.1 สินบนและส่วยจากเศรษฐกิจนอกระบบ (Illegal Economy) หวย ซ่อง ค้าอาวุธ แรงงานเถื่อน ยาเสพติด และบ่อน ที่ประเมินว่าธุรกิจมืดเหล่านี้มีมูลค่า 8% - 13% ของ จีดีพี 17 ล้านล้านบาทต่อปี หรือราว 1.7 ล้านล้านบาทต่อปี หากคิดคร่าวๆ ว่ามีการจ่ายส่วยสินบนให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับจากต้นทางถึงปลายทางแค่ 5% จะเป็นเม็ดเงินมากถึง 8.5 หมื่นล้านบาทต่อปี

2.2 สินบนครัวเรือนหรือสินบนที่ “ชาวบ้าน” ต้องจ่ายเมื่อไปติดต่อราชการ เพื่อทำนิติกรรม จดแจ้ง หรือใช้สิทธิ์ใช้บริการตามกฎหมาย อาจเพราะโดนรีดไถหรือตั้งใจจ่ายเองเพื่อแลกกับความสะดวก เร่งเวลา ลดขั้นตอน ลดเอกสาร มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทต่อปี เช่น ที่ดิน อำเภอ อบต. เทศบาล โรงพัก ศุลกากร สรรพากร โรงเรียน ฯลฯ เชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงคงสูงกว่านี้มาก แต่ผู้ให้ข้อมูลในการสำรวจอาจปิดบังเนื่องจากเกรงกลัวอันตรายหากเปิดเผย ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงกรณีภาคธุรกิจอุตสาหกรรม “ไปติดต่อ” เจ้าหน้าที่

2.3 สินบนและส่วยจากธุรกิจอุตสาหกรรมที่ต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอดหรือความได้เปรียบ ทั้งที่จ่ายโดยผู้ทำมาหากินสุจริตและไม่สุจริต เช่น ส่วยรถบรรทุก รถตู้ รถทัวร์ สถานบันเทิง

2.4 สินบนเพื่อให้ได้ใบอนุญาตอนุมัติจากราชการ เช่น ต่อเติม-สร้างบ้าน เปิดธุรกิจร้านค้า โรงงาน สถานบันเทิง โรงแรม อพาร์ตเม้นท์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต การส่งออก-นำเข้าสินค้า ฯลฯ (ข้อนี้มีลักษณะต่างจาก 2.2,2.3 และมีจำนวนมาก จึงแยกให้ชัดเจนเพื่อการศึกษาต่อไป)

2.5 ค่ามองไม่เห็น ตรวจไม่เจอ เป็นสินบนที่ประชาชนต้องจ่ายเมื่อเผชิญกับเจ้าหน้าที่นอกสถานที่ราชการ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้จ่ายกระทำผิดจริงและโดนกลั่นแกล้ง เช่น การจ่ายให้กับตำรวจจราจร เทศกิจ นายจ้างหรือแรงงานต่างด้าวต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่แรงงานหรือตำรวจ

เงินบาปประเภทนี้รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท แม้ควักล้วงจากกระเป๋าชาวบ้านแต่สุดท้ายย่อมส่งผลร้ายต่อบ้านเมือง คนไร้เส้นสาย คนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แน่นอนว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดคือ “คนจน”

3. กัดกินกันเอง

เป็นสินบนและค่าวิ่งเต้นในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง แม้จ่ายไม่แพงมากเมื่อเทียบกับข้ออื่นๆ แต่เป็นเรื่องสำคัญและอันตรายมาก เพราะมันเป็นรากเหง้าที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาเส้นสายและหาเงินเป็นค่าใช่จ่ายไปสู่ดวงดาว

3.1 การซื้อขายตำแหน่ง มีมากในหน่วยงานที่มีผลประโยชน์สูง ราคาที่จ่ายก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งนั้นจะทำเงินได้มากน้อยเพียงใด ที่มีการร้องเรียนกันมาก เช่น คมนาคม ตำรวจ มหาดไทย อุตสาหกรรม เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมศุลกากร กรมที่ดิน กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน กรมปศุสัตว์ เป็นต้น

3.2 กัดกินกันเองอื่นๆ เช่น ค่าวิ่งเต้นล้มคดี, เงินส่วนแบ่งตามลำดับชั้นที่เกิดจากส่วยสินบนกลุ่มที่ 2 การวิ่งเต้นของบประมาณจากผู้มีอำนาจในมหาดไทยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

4.ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชันของรัฐสูงมากในแต่ละปี กล่าวคือในปี 2566 ป.ป.ช. ป.ป.ท และ สตง. ใช้งบประมาณ 5,848 พันล้านบาท มีบุคลากรรวมกันกว่า 7,578 คน

บทสรุป

ความเสียหายจากคอร์รัปชันราว 5 แสนล้านบาทต่อปี! ที่กล่าวมานี้ ยังไม่รวมความสูญเสียทางอ้อมที่กัดกินสังคมไทย เช่น นักลงทุนหนีหายเพราะกลัวความไม่ชัดเจนของราชการ ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้นและไม่แน่นอนส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการให้เพิ่มสูงขึ้น ประชาชนใช้สินค้าและบริการรัฐในราคาแพงหรือคุณภาพไม่ดีพอ รัฐต้องใช้เงินภาษีจำนวนมหาศาลไปแก้ไขปัญหาอย่างไม่รู้จบ เช่น กรณีสามจังหวัดภาคใต้ การแพร่ระบาดของยาเสพติด การศึกษาด้อยคุณภาพ การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นมโรงเรียน ฯลฯ

โกงเล็กโกงน้อยข้าราชการทำกันเองได้ แต่โกงกินคำใหญ่เสียหายครั้งละมากๆ ต้องมีนักการเมืองร่วมบงการด้วยเสมอ ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเห็นคนในรัฐบาลทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่องปราบคอร์รัปชัน

ดร. มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
12 ธันวาคม 2566

อ้างอิง..
1.รายงานการสำรวจ ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. 2565
2.“หวย ซ่อง บ่อน ยาบ้า: เศรษฐกิจนอกกฎหมายกับนโยบายสาธารณะในประเทศไทย” ผาสุก พงษ์ไพจิตร สังศิต พิริยะรังสรรค์ และ นวลน้อย ตรีรัตน์, 2543
3.“สินบน ทัศนคติและประสบการณ์ ของหัวหน้าครัวเรือน” ผาสุก พงษ์ไพจิตรและคณะ, 2557