วันอังคาร, ธันวาคม 26, 2566

พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม พรรคก้าวไกล ขอให้ ครม. ทบทวนข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาฯ : คำถามประชามติ ควร “เปิดกว้าง” ไม่ยัดไส้เงื่อนไข-ไม่มัดมือชกประชาชน เพื่อเพิ่มแนวร่วมและโอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้สำเร็จ


พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu
6h ·

[ ขอให้ ครม. ทบทวนข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาฯ : คำถามประชามติ ควร “เปิดกว้าง” ไม่ยัดไส้เงื่อนไข-ไม่มัดมือชกประชาชน เพื่อเพิ่มแนวร่วมและโอกาสในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้สำเร็จ ]
.
วันนี้ ทางทางคณะกรรมการศึกษาประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญฯ ที่ถูกตั้งโดยรัฐบาลเมื่อเดือนตุลาคม ได้สรุปว่าจะเสนอให้ ครม. เดินหน้าในการจัดทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยประชามติครั้งแรก (จากทั้งหมด 3 ครั้ง) จะเป็นการถาม 1 คำถามว่า:
.
“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
(อ้างอิง: https://www.bbc.com/thai/articles/c4nykemlneno)
.
แม้การแถลงวันนี้ทำให้เราเห็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่องขั้นตอนและกรอบเวลาที่รัฐบาลจะดำเนินการ แต่คำถามที่คณะกรรมการออกแบบมาสำหรับการทำประชามติครั้งแรก เป็นคำถามที่น่ากังวลและมีความเสี่ยงจะกระทบต่อความเป็นไปได้ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามข้อกังวลที่หลายฝ่ายได้แสดงออกมาก่อนหน้านี้และที่ผมได้สื่อสารย้ำอีกรอบเมื่อเช้าวันนี้ (https://www.facebook.com/paritw/posts/898285731666213 )
.
ในมุมมองของผมและพรรคก้าวไกล คำถามหลักในประชามติควรเป็นคำถามที่ถามถึงทิศทางภาพรวมและเปิดกว้างที่สุด เพื่อทำให้ประชาชนที่เห็นตรงกันว่าควรมีจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (แม้เห็นต่างกันในรายละเอียด) สามารถเห็นร่วมกันได้มากที่สุด
.
แต่คำถามที่คณะกรรมการเคาะมาในวันนี้ กลับเป็นคำถามที่ไม่เปิดกว้าง แต่ไป “ยัดไส้” เงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้ประชาชนบางคนอาจเห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถาม ซึ่งเสี่ยงจะนำไปสู่การกีดกันแนวร่วมบางส่วนออกจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
เช่น หากประชาชนเห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ประชาชนที่มีความคิดดังกล่าวจะมีความลำบากใจในการตัดสินใจว่าจะลงคะแนนว่า “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ”
.
- ถ้าลงว่า “ไม่เห็นชอบ” ก็เท่ากับว่าคะแนนของเขาจะถูกรวมกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่ประชามติจะ “ไม่ผ่าน” และนำไปสู่การปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
- ถ้าลงว่า “เห็นชอบ” ก็เท่ากับว่าเขาถูก “มัดมือชก” ไปกับเงื่อนไขเรื่องการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ที่ตัวเขาเองไม่ได้เห็นด้วย
.
หากรัฐบาลยังคงต้องการให้มีเงื่อนไขเรื่องการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 จริงๆ ก็ควรแยกประเด็นดังกล่าวออกมาถามเป็นคำถามรอง แทนที่จะไป “ยัดไส้” อยู่ในคำถามหลัก เช่น
.
- คำถามหลัก: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
- คำถามรอง: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ว่าในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ควรมีการแก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”
.
ความจริงแล้ว ข้อกังวลที่เรามีต่อคำถามประชามติของคณะกรรมการ เป็นข้อกังวลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าแต่ละคนมีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 แต่เป็นข้อกังวลที่ยึดอยู่บนหลักการว่าคำถามหลักในประชามติควรเปิดกว้างและไม่ยัดไส้เงื่อนไขหรือมัดมือชกประชาชน (ไม่ว่าจะในเรื่องใดๆก็ตาม)
.
ดังนั้น หาก ครม. อยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สำเร็จ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ครม. จะพิจารณาถึงข้อกังวลดังกล่าว และทบทวนคำถามประชามติให้เป็นคำถามที่มีลักษณะที่เปิดกว้าง และสามารถสร้างความเห็นร่วมให้ได้มากที่สุดในหมู่ประชาชนที่อยากเห็นประเทศเรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
—----------
.
ป.ล.
หากจะทิ้งท้ายเพิ่มเติมสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ หมวด 1 และ หมวด 2 ของรัฐธรรมนูญ ผมยังคงต้องยืนยันคำเดิมว่าการล็อกไม่ให้มีการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 เลยในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีส่วนมาจาก “ความกังวลโดยไม่จำเป็น” ของรัฐบาล ที่อาจ “สร้างปัญหาใหม่โดยไม่จำเป็น” ตามที่ผมได้อภิปรายไว้ในวาระการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11-12 กันยายนที่ผ่านมา ( https://www.youtube.com/watch?v=K06J1sgy8T8... นาทีที่ 8:12 - 11:45)
.
การล็อกไม่ให้มีการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 มีส่วนมาจาก “ความกังวลโดยไม่จำเป็น” ของรัฐบาล เพราะ:
.
(1) การแก้ไขเนื้อหาใน หมวด 1 และ หมวด 2 ไม่สามารถกระทบหรือนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองได้อยู่แล้ว เพราะ มาตรา 255 ได้กำหนดชัด ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดหรือมาตราใดๆก็ตาม จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ
.
(2) การแก้ไขเนื้อหาใน หมวด 1 และ หมวด 2 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปกติเมื่อมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ก็มีการปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด จาก รัฐธรรมนูญ 2540 มาสู่ รัฐธรรมนูญ 2550 และมาสู่ รัฐธรรมนูญ 2560 (เห็นได้ชัดในตารางใน link นี้: https://cdc.parliament.go.th/draftcons.../ewt_dl_link.php... )
.
(3) การแก้ไขเนื้อหาใน หมวด 1 และ หมวด 2 เเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันก็อนุญาตให้ทำได้และไม่ได้ห้ามไว้ เพียงแต่ มาตรา 256 ( กำหนดว่าต้องมีการจัดทำประชามติ หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 หรือ หมวด 2 ผ่านความเห็นชอบ 3 วาระของรัฐสภา
.
ยิ่งไปกว่านั้น การล็อกไม่ให้มีการแก้ไข หมวด 1 และ หมวด 2 อาจ “สร้างปัญหาใหม่โดยไม่จำเป็น” เช่น:
.
(1) ปัญหาเชิงกฎหมาย - เนื่องจากเนื้อหาของรัฐธรรมนูญในแต่ละหมวดมีความสัมพันธ์กัน การยกร่างเกือบทุกหมวด โดยล็อกไม่ให้แก้ไขข้อความใดๆเลยใน 2 หมวด อาจนำไปสู่ปัญหาเชิงปฏิบัติในการเขียนกฎหมายได้ (เช่น หากสมมุติในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการยกเลิกการมีอยู่ของวุฒิสภา มาตรา 12 ใน หมวด 2 ที่ปัจจุบันเขียนว่า “องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดํารงตําแหน่งทางการเมืองอื่น…” ก็ควรจะมีการตัดคำว่า “สมาชิกวุฒิสภา” ออกเพื่อให้สอดคล้องกับหมวดอื่นของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่การแก้ข้อความลักษณะนี้จะทำไม่ได้หากมีการล็อกเนื้อหาในหมวด 1 และ หมวด 2 ไว้)
.
(2) ปัญหาเชิงการเมือง - หากประชาชนบางกลุ่มอยากปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนในหมวด 1 และหมวด 2 โดยที่การแก้ไขดังกล่าวไม่เป็นการกระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ การไปล็อกไม่ให้เขาแม้กระทั่งได้เสนอความเห็นของเขาด้วยเหตุและผลอย่างมีวุฒิภาวะในพื้นที่ที่ควรปลอดภัยอย่าง สสร. (แม้ในที่สุด สสร. ส่วนใหญ่อาจจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา) อาจทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ณ ปัจจุบัน มีความท้าทายมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่สามารถสะท้อนฉันทามติใหม่ของประชาชนทุกคนทุกชุดความคิดในสังคมเราได้อย่างแท้จริง