การชุมนุม ๑๘ พฤศจิกา ของ ‘ราษฎร ๖๓’ ได้ก้าวข้าม ‘Threshold’ ธรณีประตูของการเรียกร้องไปสู่การกอบกู้สิ่งที่ขาดหายไปแล้ว วันที่ ๒๕ พ.ย.จะเป็น ‘step’ ย่างเหยียบแรกในแนวทางไปสู่ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพอันเป็นสากล และความยุติธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
ภาพประธานศาลฎีกาหมอบราบกับพื้นถนน บ่งบอกความชอบธรรมแห่งการแสดงออกของมวลชนปลดแอกที่ราษฎร์ประสงค์ ไม่เพียงการ ‘สาดสี’ หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากแต่รวม ‘graffiti’ ตามกำแพงคอนกรีต ตอม่อทางยกระดับ บนพื้นถนน และประตูรั้วเหล็ก
คำปรารภของ พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อธิบาย ‘ก้าวย่าง’ ของคณาราษฎร์ได้อย่างแจ่มแจ้ง “บอกเลยว่า ห้วงเวลาแห่งการประนีประนอมมันผ่านไปแล้ว ข้อเรียกร้อง ๑๐ ข้อจบแล้ว” และมันจะ “จบเห่เร็วขึ้น...ถ้าฝ่ายรัฐยังจะยกระดับความรุนแรง” ขึ้นไปอีก
พิชิตอ้างถึง “การชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวาน ๘๐% เป็นนักเรียนมัธยม อาชีวะและนักศึกษา ถูกกระทำด้วยมาตรการที่รุนแรงยิ่งกว่ากรณีปทุมวัน แถมปล่อยอันธพาลเสื้อเหลืองมาปล่อยผีอันธพาลเสื้อเหลืองออกมา...ไล่ยิงอีก” แม้กระทั่งรัฐประหารก็จะไม่มีความหมาย
ถ้อยความจิตรกรรมฝาผนังท้องถนน “หยุดจ๊วบจ๊าบสถาบันประชาฃน” “แรงงานสร้างชาติ ไม่ใช่มหาราชองค์ใด” ไปถึง “I hear ร...สั่งอุ้มประชาชน” “ทรงงานไม่เก็ต ทรงเย็ด very good” และ “ตายเมื่อไหร่ดี” เพราะมีข่าวลือ กับ “เล็กฆ่าพี่” จนกระทั่ง “Revolution”
เหล่านี้แสดงถึง “อารมณ์โกรธ เกลียด (และเคียด) แค้น” ทำให้ “วันนี้พวกเขามาเอาคืน” ดัง Noppakow Kongsuwan บรรยายว่า “นี่คือการตอบโต้ในรูปแบบสันติวิธีตามหลักสากล...เพราะสันติวิธีมิได้หมายความ นั่งเฉยๆ ให้คุณกระทืบเราจนเจ็บเจียนตายฝ่ายเดียว”
การตอบโต้นี้รวมไปถึงความเสียหายที่เกิดกับ “รถฉีดน้ำแรงดันสูง ๓ คัน รถบรรทุกสิบล้อบรรทุกน้ำ ๒ คัน อีกคันเป็นรถควบคุมผู้ต้องขังของ ตร. ถูกกรอกทรายและเศษขยะใส่ถังน้ำมันและหม้อน้ำ แผงวงจรในรถระบบควบคุมการฉีดน้ำและกล้อง ถูกทาสีถูกราดน้ำใส่จนช็อต”
ทำไมผู้ชุมนุมจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้ ในเมื่อ “ทำไมต้องกั้นลวดหนาม ทำไมประชาชนไปสภาไม่ได้ ทำไมตำรวจประกาศว่า คุณกำลังเข้ามาอยู่ในเขตหวงห้าม แต่ข้างหลังตำรวจก็คือประชาชนอีกฝ่ายหนึ่ง” บารมี ชัยรัตน์ ผู้ประสานงานสมัชชาคนจน กล่าวกับ ‘ประชาไท’
ด้านนพเก้าเล่าอีกว่า “ได้ยินอานนท์ นำภา ย้ำกับผู้ชุมนุมว่า อย่าปาสีใส่รูปพระพันปีหลวง เพราะวันนี้เราต้องการเอาคืนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น พระพันปีไม่ใช่คู่ขัดแย้งของเรา” กับการเกิดสัญญลักษณ์ของการประท้วงรูปใหม่ ‘เป็ดเหลือง’
สืบเนื่องจากวีรกรรมเมื่อวันวาน “เป็นอุปกรณ์สำคัญในการป้องกันตัวผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรอย่างคาดไม่ถึง ทั้งกันของที่ถูกปา กันน้ำผสมสารเคมีที่ถูกฉีดเข้าใส่ไม่ยั้ง” ถึงขนาดมีการกำหนดบรรดาศักดิ์ว่า “กรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์”
ทั้งหมดนี้เนื่องจาก หนทางรัฐสภาใช้พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย ร่างข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน กับอีก ๔ ร่างของพรรคเพื่อไทย ไม่ผ่านการรับหลักการเข้าไปพิจารณา เนื่องจากเงื่อนงำในรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.สั่งเขียนนี้เอง
ทำให้เสียงสภา ‘ตู่ตั้ง’ เป็นแบริเออร์คอนกรีตและลวดหนามสกัดกั้น เพียง ส.ส.พรรครัฐบาล ๒๑๓ คน กับ สว.อีก ๑๕๖ คน งดไม่ออกเสียง บวกกับพวกที่โหวตค้าน ๑๓๘ คน (ส.ส.รัฐบาล ๖๐ เสียง และ สว.ตู่ตั้ง ๗๘ เสียง) ทำให้ ๒๑๒ เสียงเห็นชอบ ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (๓๖๖ เสียง)
นอกนั้นยังมีอีกเงื่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับไม่ให้แก้นี้ระบุไว้ว่า การอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญทำไม่ได้ถ้าไม่มีเสียง สว.หนึ่งในสาม ๘๔ คนเห็นชอบ ส่วนสองฉบับที่ผ่านวาระไปได้ คือฉบับของพรรคร่วมฝ่ายค้านและของพรรคร่วมรัฐบาล ทายกันว่าจะไปตกม้าตายตอนวาระแปรญัตติ
กิจกรรม ‘สาดสีและกร๊าฟฟิตี’ ของม็อบ ‘เป็ดเหลือง’ วานนี้เสร็จสรรพเมื่อราวสองทุ่มครึ่ง แกนนำประกาศยุติชุมนุม และกำหนดการชุมนุมครั้งต่อไปอีก ๗ วันข้างหน้า ตั้งพิกัดจุดนัดไว้ที่หน้า “สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
เขาว่านี่ไม่ใช่การเพิ่มเพดานแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะเพดานลดระดับลงมางัดด้วยเอง
(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/2609815322644677CP-R, https://www.facebook.com/iLawClub/posts/10164663855795551CP-R, https://www.facebook.com/Noppakow.kong/posts/9530950250989272CP-R และ https://www.facebook.com/pichitlk/posts/3537613719639754CP-R)