วันเสาร์, ธันวาคม 26, 2558

คดีเกาะเต่าตกเป็นจำเลยต่อการพินิจฉัยของนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะในอังกฤษและพม่า




คดีเกาะเต่าตกเป็นจำเลยต่อการพินิจฉัยของนานาชาติอีกครั้ง โดยเฉพาะในอังกฤษและพม่า

เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมโหดสองนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว กระบวนการสอบสวนของไทยตกเป็นที่วิพากษ์หนักหน่วงว่า ล่าช้า ลักลั่น และขาดประสิทธิภาพ

ประการสำคัญปล่อยให้คนทั่วไป รวมทั้งกลุ่มคนพวกพ้องเจ้าของบาร์ชาวไทยที่ถูกตั้งข้อสังเกตุว่าพัวพันกับการฆาตกรรม เข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ และอาจเคลื่อนย้ายของกลาง เนื่องจากกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปควบคุมสถานที่เกิดเหตุได้ ก็ล่วงเลยไปเป็นวัน




ศาลไทยตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหาหนุ่มชาวพม่าสองคน โดยไม่รับฟังคำร้องของจำเลยว่าถูกบังคับให้สารภาพด้วยการซ้อมทรมาน (คัดและประมวลเนื้อความจากข้อคิดของ Pipob Udomittipong)

“ศาลเชื่อพยานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งพบว่า DNA ตรงกันระหว่างคราบอสุจิกับจำเลย ทั้ง ๆ ที่ DNA บนจอบที่ใช้สังหารเหยื่อทั้งสองราย ไม่ตรงกับจำเลยทั้งสองคนเลย”

“คราบเลือดที่ติดอยู่บนจอบซึ่งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ แต่ผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลให้การว่า ดีเอ็นเอที่ได้มาจากคราบเลือดนั้นไม่ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลย นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ ข้อโต้แย้งการกล่าวหาของฝ่ายรัฐ”

(ตามรายงานข่าวเดอะนิวยอร์คไทมส์ http://www.nytimes.com/…/world/asia/thailand-koh-tao-murder…)

นอกเหนือจากนั้น “ในคำพิพากษาของศาลเกาะสมุย อัยการนำเสนอหลักฐานที่เก็บมาจากสถานที่เกิดอาชญากรรม พร้อมทั้งคำให้การของพยาน พิสูจน์ได้ ‘โดยปราศจากข้อกังขา’ ว่าจำเลยทั้งของฆ่านายมิลเลอร์และไปข่มขืน น.ส.วิตเทอริดจ์ก่อนที่จะสังหารเธอเพื่อ ‘ปกปิดการกระทำของตน’ หลักฐานดีเอ็นเอแสดงว่าอสุจิของสองผู้ต้องหาได้เข้าไปอยู่ในร่างของวิตเทอริดจ์”

(โดยรายงานข่าวเอพีhttp://bigstory.ap.org/urn:publicid:ap.org:4990031147134ea8…)

“ส่วนข้ออ้างที่ถูกซ้อมและบังคับให้สารภาพ ศาลไม่เชื่อเพราะมองว่า ‘จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบ...มีลักษณะเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ’...

ไม่มีหลักฐานยืนยันจากหน่วยงานราชทัณฑ์ว่ามีการซ้อมทรมาน เพราะปรกติต้องมีการถ่ายรูปและตรวจร่างกาย จึงยังฟังไม่ได้ว่ามีการซ้อมทรมานจำเลยทั้งสี่ตามที่กล่าวอ้าง”

ความเห็นของพิภพต่อรายละเอียดข่าวเอพีดังกล่าว ชี้ว่า

“คงเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากถ้ามีการซ้อมผู้ต้องหาแล้วราชทัณฑ์จะเก็บหลักฐานไว้ให้พิสูจน์

และทั้งสองคดี ขณะสอบสวนผู้ต้องหา ไม่มีทนายความอยู่ด้วยเลย คดีเกาะเต่าไม่มีการจัดล่ามให้ หรือจัดให้ก็ไม่สามารถทำหน้าที่อย่างดีพอ”

ขณะที่แถลงการณ์ของทีมทนายอาสาช่วยว่าความให้กับสองผู้ต้องหา เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ภายหลังคำพิพากษา แจ้งว่า

“(3) จำเลยไม่เกี่ยวข้องกับอาวุธที่ใช้ก่อเหตุฆาตกรรม (จอบ) เพราะไม่ปรากฏดีเอ็นเอที่จอบ แต่ปรากฏข้อมูลดีเอ็นเอของบุคคลอื่นแทน

(4) หลักฐานดีเอ็นเอที่อ้างว่าเชื่อมโยงจำเลย พยานวัตถุหรือหลักฐานแวดล้อมทั้งหมด ที่สามารถจะยืนยันความผิดจำเลย ขาดความน่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังได้

เพราะกระบวนการจัดเก็บ การทดสอบ หรือการวิเคราะห์ตามหลักสากลที่ได้รับการยอมรับ เช่น มาตรฐาน ISO 17025 ทำให้หลักฐานนี้ไม่อาจนำมายืนยันความผิดจำเลยโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ว่ากระทำการข่มขืนชำเราผู้ตายเพศหญิง หรือฆ่าผู้ตายเพศหญิงและผู้ตายเพศชายได้”

(https://voicefromthais.wordpress.com/2015/12/24/mwrn_๒๑ ธ.ค. ๕๘)

อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ามีถ้อยแถลงของครอบครัวผู้เสียหายรายหนึ่ง คือนายเดวิด มิลเลอร์ เหยื่อฆาตกรรมชาย กล่าวว่าพวกเขาได้ฟังหลักฐานต่างๆ ที่ศาลไทยอ้างในการตัดสินประหารชีวิตจำเลยแล้ว ว่าน่าเชื่อถือ และเป็นการตัดสินที่เหมาะสมแล้ว”

(http://www.nytimes.com/…/family-discuss-verdict-for-thai-de…)




ถึงกระนั้น “เดอะการ์เดียนยังกล่าวถึงทฤษฎีที่ว่าผู้ก่อเหตุฆาตกรรมฮันนา วิทเธอริดจ์ และเดวิด มิลเลอร์ ยังลอยนวลอยู่ เนื่องจากเป็นคนในครอบครัวผู้ทรงอิทธิพลของเกาะ

และระบุด้วยว่าในหลายพื้นที่ของไทย ตำรวจและมาเฟียมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด จึงไม่น่าแปลกใจที่การสอบสวนคดีนี้จะจงใจละเลยบางอย่างไป”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/303144.html)

การละเลยที่สำคัญอยู่ที่คำให้การพยานฝ่ายจำเลย ศาลอ้างว่า ‘จำเลยไม่มีการนำสืบพยานของตน’ ทั้งที่พยานคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของฉอนน่าห์และเดวิด ผู้เสียชีวิตทั้งสอง คือนายฌอน เฮส์ แม็คแอนนา ซึ่งเคยให้ความเห็นว่าการฆาตกรรมครั้งนี้ข้องเกี่ยวกับเจ้าของบาร์ชายหาดซึ่งเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลบนเกาะเต่า แต่ต้องเร่งรีบเดินทางออกนอกประเทศหลังจากเกิดเหตุเพียงสองสามวัน

ตามรายงานของเว็บไซ้ท์ CSI LA ที่เก็บรายละเอียดจากเว็บ soundcloud.com ที่นายฌอนเขียนข้อความโต้คำเรียกร้องให้เขาเผยความจริง ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ ว่า




“ตนไม่เคยพูดว่ารู้ว่าใครเป็นฆาตกร พูดเพียงว่าถ้าตนตายในคืนนั้นคนจากอินทัช รีสอร์ท เป็นคนทำ แม้คนที่มีสมองแค่ครึ่งก็คงรู้ว่าพม่าเป็นแพะ

ตนเสียใจมากสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ และเสียใจที่สื่อโกหก เชื่อตนเถิดพวกเขาโกหกหลายอย่าง และปั้นเรื่องราวขึ้นมา”

(http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx…)




เห็นท่าคดีเกาะเต่านี้ แม้จะมีคำพิพากษาออกมาในที่สุด แต่ก็เป็นการตัดสินที่ไม่ได้รับความเชื่อถือเต็มร้อยจากภายนอกประเทศ มิใยที่ทางการและหน่วยงานศาลจะอ้างอย่างไร ตราบที่ยังมีข้อกังขา ไม่ได้รับการพิสูจน์และสอบสวนให้ถ้วนทั่ว ถ่องแท้

ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับโดยมหาชนสากลได้ เพราะมิได้ใช้เหตุผลแน่นอน beyond any reasonable doubt