วันพุธ, ธันวาคม 30, 2558

เมื่อสื่อไม่จัด พลเมืองขอทำหน้าที่แทน - ฉายานักการเมืองปี 2558




ที่มา พลเมืองโต้กลับ

1.
ตลกหลวง ลวงโลก
............
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้แก้ใจดีว่าการรัฐประหาร นั้นไม่แก้ปัญหาและไม่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ดังที่เคยกล่าวไว้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556 ว่า “รัฐประหารเป็นการแก้ปัญหาผิดทาง ปัญหาอื่นๆ จะเกิดอีก" แต่แล้วพล.อ.ประยุทธ์ กลืนน้ำลายตัวเอง มาเป็นหัวหน้ารัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ภายหลังจากร่วมมือสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามกปปส. และบรรดาองค์กรอิสระต่าง ๆ ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงต้องอ้างคามชอบธรรมเดียวของตนคือการได้รับ พระบรมราชโองการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายกรัฐมนตรี 

แต่ก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและนานาอารยะประเทศ สำหรับในเมืองไทยการใช้อำนาจในการข่มขู่ คุกคามคนที่เห็นต่างแล้วอ้างเอาความนิยมจอมปลอมผ่านโพลต่าง ๆ เป็นจุดขาย ดังจะเห็นผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติว่าได้รับความนิยมถึง 99.5 % แต่สำหรับสายตาชาวโลกแล้ว ความนิยมเช่นนี้มีเพียงประเทศเกาหลีเหนือเท่านั้นที่ทำได้และยังทำอยู่ในปัจจุบัน

2.
เปรม : สี่เสากระเด้าลม
...................


พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้สนับสนุนหลักในการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ทั้งการนำคณะรัฐประหารเข้าเผ้าในหลวงในปี 2549 และการใช้สถานะประธานองคมนตรีมารับประกันสถานะของคณะรัฐบาคณะรัฐประหาร แต่กลายเป็นว่านานวันรัศมีของประธานองคมนตรีและบ้านสี่เสา ที่บรรดาชนชั้นนำมักตบเท้าเข้ามาอวยพรนั้นอับแสงลง พร้อม ๆ กับรัศมีของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เริ่มฉายแสดงดังจะเห็นจากการรับบทป๋าดันในวงการต่าง ๆ ดังนั้นฉายา สี่เสากระเด้าลม ของ พล.อ.เปรมจึงนับว่าเหมาะสม แต่ก็ใช่ว่าจะประมาท สมญานาม “นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” คนนี้ ที่มักจะมีเซอร์ไฟซ์ในการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยาวนาน

3.
ประวิตร : ป๋าดัน ตั๊นแห้ว
.......................


พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง รมว. กลาโหม รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็น "พี่ใหญ่" ในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ กลุ่มทหารที่ทำรัฐประหารต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 พลเอก ประวิตร เป็นผู้ที่มีคอนเนคชั่น กว้างขวาง ดังนั้นการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ทบ. ผบ.ตร. นายทหารระดับคุมกับกำลัง หน่วยงานราชการต่าง ๆ ล้วนเป็นเด็ก บิ๊กป้อม รวมทั้งล่าสุด พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ก็เป็นเด็กในคาถา บิ๊กป้อม จนกล่าวได้ว่าพลเอก ประวิตร ยึดเครือข่ายข้าราชการะดับสูงได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ทว่า จิตภัสร์ กฤดากร หรือ ตั๊น อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. ที่ใกล้ชิดกับพลเอกประวิตรจนเรียกว่า "ลุงป้อม" กลับไม่ประสบผลสำเร็จในการผลักดันรับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแม้ในตำแหน่งรองสารวัตรประจำ กองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 ก็ตาม

4.
เงียบๆ ฟาดเรียบนะคะ
.......................



พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นพี่รองในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ที่ส่วนสำคัญในการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 ถึง 2557 ดังนั้นตำแหน่ง รมว มหาดไทย จึงเป็นการต่างตอบแทนที่เหมาะสม แม้จะไม่มีข่าวออกมาจากระทรวงมหาดไทยมากแต่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ยึดกุมอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงอย่างเบ็ดเสร็จ ภายใต้คำสั่งของคณะรัฐประหารในการยกเลิกการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับก็ยิ่งทำให้พลเอกอนุพงษ์ และคณะรัฐประหารสามารถสร้างเครือข่ายในการสืบทอดอำนาจไปได้อีก นอกจากนั้น พลเอกอนุพงษ์ ที่เป็น ผบ.ทบ. (ตุลาคม 2550 – กันยายน 2553) ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ล้อมปราบ เมษา พฤษภา 2553 ซึ่งภารกิจหนึ่งของการรัฐประหารครั้งนี้คือการไม่เอาผิดทหารที่ในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเท่ากับว่าพลเอกอนุพงษ์ คือผู้ได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารครั้งนี้มากที่สุดคนหนึ่ง

5.
อุดมเดช : แก้มบุ๋มขยุ้มหัวคิว
.......................




พลเอก อุดมเดช สีตบุตร ผู้มีบทบาทสำคัญในหน่วยคุมกำลังตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จนถึงรัฐประหาร 2557 เมื่อรัฐประหารสำเร็จ พลเอก อุดมเดชดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และเข้ารับตำแหน่ง รมช.กลาโหมในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อพล.เอ.ประยุทธ์ เกษียณ พลเอกอุดมเดช ก็ดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ไม่ถึงเดือน พลเอก อุดมเดชก็ผลักดันโครงการอุทยานราชภักดิ์ เพื่อให้เสร็จในอายุราชการของตนคือเดือนกันยายน 2558 โดยที่มีนายทหารคนสนิทคือ พลตรี สุชาติ พรมใหม่ "เสธ.โต" ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และ พ.อ. คชาชาต บุญดี “เสธ.โจ้” ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1 รอ.) ทั้งคู่ มีบทบาทสำคัญในการช่วย คสช. ดูแลความเคลื่อนไหวและควบคุมการชุมนุมด้านการเมือง เป็นผู้ดูแล จัดซื้อจัดจ้าง และรับบริจาค จนเมื่อปรากฎว่าราชภักดิ์แดงมีการทุจริตแทบทุกขั้นตอน และคนสนิท คือ พลตรี สุชาติ พรมใหม่ "เสธ.โต" และ พ.อ. คชาชาต บุญดี “เสธ.โจ้” ได้ถูกหมายจับคดี 112 และหลบหนีคดี ขณะที่พลเอก อุดมเดชยอมรับว่ามีการหักหัวคิวจริง แต่บริจาคกลับคืนมาแล้ว มาจนบัดนี้การคอรัปชั่นราชภักดิ์ ก็ยังคงอื้อฉาวและเขย่าบัลลังค์ คสช. อยู่จนปัจจุบัน

6.
(ล้อ) ต็อก จำอวด ลายพราง
..................




พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม,, หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. ผู้ที่พลาดหวังจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่ได้เก้าอีก รมว. ยุติธรรมปลอบใจ สำหรับการร่วมมือการรัฐประหาร แทนที่จะมีนโยบายอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้น พลเอกไพบูลย์ กลับใช้อำนาจในการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยเฉพาะการ ไล่ล่าคนที่ลี้ภัยทางการเมือง นอกจากนั้นเพื่อสร้างภาพการต่อต้านคอรัปชั่น พลเอกไพบูลย์ ทำเหมือนกับว่าเอาจริงกับการปราบคอรัปชั่นแต่ปรากฏว่า ไมมีทหารที่เกี่ยวข้อกับคอรัปชั่นแม้แต่รายเดียว และเมื่อต้องตรวจสอบคอรัปชั่นอทุยานราชภักดิ์ของทหาร เริ่มต้นด้วยท่าทีขึงขัง แต่จบลงด้วยการซูเอี๋ยกันเอง ว่าไม่มีการทุจริต ไม่ต่างอะไรกับการเล่นจำอวด เพื่อหลอกคนดู โดยเฉพาะคนที่เชียร๋รัฐประหารด้วยกันเอง

7.
ดอน ปรมัตถ์วินัย
แผ่นเสียงวัยทอง ตกร่องรัฐประหาร
...............



รัฐบาลรัฐประหารเป็นที่รังเกียจไม่ยอมรับของนานาอารยะประเทศดังเห็นจากการระงับความร่วมมือในหลายระดับจนกว่าประเทศไทยจะกลับเข้าสุ่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลรัฐประหารกลับไม่สำเหนียก ดังนั้น พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สูงสุด ผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่งในการรัฐประหาร จึงเป็น รมว.ต่างประเทศคนแรก โดยที่ ดอน ปรมัตถ์วินัย เป็น รมช. ต่างประเทศ แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสื่อมทรุดลงเรื่อย ๆ จึงมีการย้ายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็น รมว.ต่างประเทศแทนพลเอกธนะศักดิ์ บทบาทของดอน ไม่มีอะไรมากกว่าการทำหน้าที่แก้ต่างแทนคณะรัฐประหาร ทั้งเรื่องการเจรจาการค้าว่ายังคงเป็นไปตามปกติ รัฐบาลรัฐประหารไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ไม่ช่วยอะไร นอกจากเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่ไม่มีใครฟัง

8.
บวรศักดิ์-มีชัย เนติบริกรลูกกรอก รธน.หลอกลวง
.................



ภายหลังรัฐประหาร 2557 บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สายของคณะรัฐประหาร รัฐธรรมนูญที่บวรศักดิ์ แม้จะคุยโวว่าจะให้ "พลเมืองเป้นใหญ่" แต่เนื้อหาแล้ว ออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจให้คณะรัฐประหารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการยุทธศาสตร์ปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่สนับสนุนรัฐประหารยังรับไม่ได้ ทำให้ คณะรัฐประหารยอมที่จะ สั่งให้ สปช. โหวตล้มร่าง รธน. ตามมาด้วยการยุบ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญและสปช. เพื่อลดกระแส แต่ก็แทนที่ด้วย แนติบริการรุ่นใหญ่กว่าคือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ในตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เนื้อหาการร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ก็ไม่แตกต่างจากนายบวรศักดิ์ ในการต่อท่ออำนาจให้คณะรัฐประหาร ดังนั้นบทบาทของทั้ง บวรศักดิ์-มีชัย จึงเป็น เนติบริกรลูกกรอก รธน.หลอกลวง

9.

ขุนคลังเซิ่นเจิ้น
.................




ภายหลังจากล้มเหลวกับ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คณะรัฐประหารก็เลือกใช้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลเศรษฐกิจ แม้ว่าสมคิด จะเป็นส่วนหนึ่งในการรับใช้ "ระบอบทักษิณ" จนนาทีสุดท้ายก่อนรัฐประหาร 2549 ก็ตาม แต่สมคิดก็หาได้สำเหนียกไม่ว่าการมารับหน้าที่ดังกล่าวในระบอบรัฐประหารนั้นแตกต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะรัฐบาลนานาอารยประเทศได้งดเจรจาการค้าด้วย เมื่อเข้ามาบริหารเศรษฐกิจ สมคิดก็อาศัยความเคยชินเดิมคือนโยบาย "ประชานิยม" ในสมัยทักษิณ เพียงแต่ว่าได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "ประชารัฐ" แต่การดำเนินนโยบาย "ประชารัฐ" กลับใช้กลไกราชการโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่รวมศูนย์และคอรัปชั่นสูง กลายเป็นว่านโยบายหลักของสมคิดคือการลอกเลียนนโยบายเก่ามา แถมลอกเลียนในคุณภาพที่ต่ำกว่าเดิม นี่ยังไ่ม่รวมผลงานอีปลักาณ์ล่าสุดที่ไปลงนามทำรถไฟฟ้าจากจีนด้วยราตาที่แพงและคุณภาพที่ต่ำกว่าโครงการของรัฐบาลที่แล้วด้วย

10.
ลุงกำนัน ปั่นสลิ่ม
.................


พลันที่สุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองรุ่นลายครามจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เต็มด้วยบาดแผลคอรัปชั่นตั้งแต่ สปก. 4-01 ทุจริตถมหรายสนามบินสุวรรณภูมิ มาจนถึงการสร้างโรงพักร้างทั่วประเทศ ฯลฯ ได้แยกร่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ผันตัวเองมาเป็นผู้นำมวลชนในนาม กปปส. สุเทพได้อาศัยโวหารปลุกใจมวลชน เพื่อการต่อต้าน ร่างพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะตกไป รัฐบาลยุบสภาแล้ว แต่สุเทพ ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังนำมวลชนมาล้มเลือกตั้ง โดยหวังจะเปิดทางให้เกิดรัฐประหาร แล้วตัวเองและพรรคพวกจะได้ประโยชน์ จนเมื่อเกิดรัฐประหารสมความตั้งใจ สุเทพกลับถูกเฉดหัวออกจากวงอำนาจจนต้องหนีไปบวช และหมดบทบาทลง แต่ทว่าผลพวงจากการปั่นผู้คนให้เห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหาร ก็ยังคงมีผลมาจนทุกวันนี้และเป็นฐานที่สำคัญในการสนับสนุนรัฐบาลรัฐประหารด้วยข้อแก้ดัวว่า "ถึงแม้รัฐบาลรัฐประหารจะคอรัปชั่นอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่ารัฐบาลขายชาติ"


วาทะแห่งปี "โกงอย่างจงรัก หักหัวคิวอย่างภักดี"
.................


ข้ออ้างสำคัญของรัฐประหาร 2557 คือการมาแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการมีการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ทั้งทางลับและเปิดเผย ดังนั้นคณะรัฐประหารจึงใช้องค์กรต่าง ๆ ที่ตนเองตั้งขึ้นมาในการพิพากษาและยัดข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน เช่นเดียวกับเรื่องมาตรา 112 ที่ใช้ศาลทหารในการกล่าวหาและตัดสิน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับปรากฎว่า ทหารเองนั้นที่มีปัญหาคอรัปชั่น องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) เผยแพร่ “รายงานดัชนีป้องกันคอร์รัปชั่นในกองทัพ (Government defence Anti – Corruption Index - GI) ปรากฎว่ากองทัพไทยในระดับ E ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดคอร์รัปชั่น (ต่ำสุดคือ G) ดังนั้นความอื้อฉาวกรณีอุทยานราชภักดิ์ที่มีการคอรัปชั่นทุกขั้นตอนและมีผู้ที่เกียวข้องจำนวนมากโดน มาตรา 112 เล่นงานจึงสะท้อนให้เห็นว่าข้ออ้างต่าง ๆ ของการรัฐประหารนั้นไร้สาระเพียงใด

ดังนั้นวาทะ "โกงอย่างจงรัก หักหัวคิวอย่างภักดี " โดยขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จึงสะท้อนการเมืองภายใต้ระบอบรัฐประหารได้ชัดเจน