ทหารลิ่วล้อ คสช. เวลานี้ยิ่งกว่า ‘กร่างและกำเริบหนัก’ แบบที่วิญญูชนบางคนบ่นว่าไว้
ส่วนว่า ‘ประสาทแดก’ (ดังคำของ สศจ.) ก็ undertones ไปนิด ดูแล้วไม่ใช่อาการชั่วแล่นหรือแค่วูบ
มันเป็น premeditated อันเนื่องมาจากเชื้อร้ายสถุลๆ ฝังลึกอยู่ในกมลสันดานนั่นละมากกว่า
กรณีตะหานสี่คนขี่ฮัมวีไปบุกบ้าน อจ. เธนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณะบดีคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำให้ลูกเมียของท่านอกสั่นขวัญแขวน
ทหารบอกกับคุณเชอรี่ แบร์รี่ ภรรยา อจ.เธนศ ว่าผู้บังคับบัญชาสั่งให้มาตรวจตราทุกๆ ๑๕ วัน ทำการถ่ายภาพและต้องการพบตัว
พอดีวันนั้น อจ.เธนศติดงานอยู่ต่างจังหวัด พวกทหารจึงแจ้งว่า ห้าม อจ.เธนศเดินทางไปต่างประเทศก่อนได้รับอนุญาตจาก คสช.
แน่ละเจ้าตัวหลังทราบเรื่อง ตอบคำถามผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย - BBC Thai ก่อนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ว่า
“ผมก็อยากทราบเหตุผล เพราะผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรที่ล้ำเส้น”
“ตนไม่ค่อยได้ร่วมเวทีเสวนาวิชาการมากนักในช่วงหลัง ส่วนกิจกรรมทางการเมืองล่าสุดคือการลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองประมาณ ๒ เดือนก่อนหน้านี้”
อธึกกิต แสวงสุข นักเขียน นักพูดที่รู้จักกันกว้างขวาง เขียนถึงกรณีนี้ว่า
“อ.ธเนศเป็นคนสุภาพมาก พูดแต่ละครั้งก็เนิบนาบ (ไม่สนใจเนื้อหาจริงๆ แทบหลับ) ไม่ใช่นักไฮปาร์คหรือแกนนำที่ไหน แถมแกไม่ค่อยเคลื่อนไหวอะไร เฟซบุคก็ไม่ค่อยเขียน...
ก็เลยงงว่าแล้วจะไปตอแยแกทำไมวะ นึกหาเหตุผลไม่ออกจริงๆ...นึกไปนึกมา นึกได้ข้อเดียว คือบังเอิญชื่อ อ.ธเนศ อ่านออกเสียงตรงกับ ‘ธเนตร’ ที่โดนอุ้มไป หรือไม่ก็จะไปเตือน อ.ธเนศวร์ เจริญเมือง แต่ผิดบ้านผิดคน”
เหตุผลตรงกับที่ ธนพล อิ๋วสกุล คาดหมาย “คำตอบไม่ยากเลย เพราะทหารคิดว่า ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กับ ธเนศวร์ เจริญเมือง เป็นคนเดียวกัน ที่เคยเชิญตัวเข้าค่ายทหาร”
พอมาถึงโฆษก คสช. ท่าจะเงิบมั้ง ถึงได้ทำซึมเซ่อ dumbfound ว่า “ผมไม่รู้เลยว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เหมือนเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปากซอยหรือไม่ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องปกติการทำงานทั่วไป หรือไปดูแลเป็นพิเศษ”
สำหรับกรณีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไปอุ้มตัว เธนตร อนันตวงษ์ นักกิจกรรมทีมจ่านิวจากเตียงรอผ่าตัดในโรงพยาบาลโดยไม่ยอมบอกสถานที่กักขัง อีกทั้งศาลยกคำร้องข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยนั้น
Amnesty International องค์การนิรโทษกรรมนานาชาติได้ออกหนังสือเรียกร้องจากทั่วโลก ให้ทางการไทยจัดการปล่อยตัวนายเธนตร ‘ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข’ ทั้งนี้จะทำการรณรงค์ให้นานาชาติส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศไทยก่อนวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๙
(http://prachatai.org/journal/2015/12/63022)
มาถึงคดีของนางชญาภา โชคพรบุษศรี พนักงานบัญชีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง วัย ๔๙ ปี ถูกทหารบุกเข้าจับกุมและควบคุมตัวโดยไม่มีหมายศาล ตั้งข้อหาปลุกปั่นยุยงตามความผิดอาญามาตรา ๑๑๖ เนื่องจากนำลงข้อความทางเฟชบุ๊คว่าจะมีการปฏิวัติซ้อน
ต่อมาเพิ่มข้อหาหมิ่นกษัตริย์ตามความผิดอาญามาตรา ๑๑๒ จากนั้นก่อนที่ทนายความจะสามารถขอสำนวนมาศึกษา ปรากฏว่าศาลทหารได้ทำการตัดสินคดีในทางลับ ให้จำคุกจำเลย ๑๔ ปี ๖๐ เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยยอมรับสารภาพ เหลือ ๗ ปี ๓๐ เดือน
(http://prachatai.org/journal/2015/12/62972)
ถึงจุดนี้ แซม ซาริฟี แห่งคณะกรรมการลูกขุนนานาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลอีกหน่วยหนึ่งกล่าวว่า “นี่เป็นความตกต่ำจริงๆ”
เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้องค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์จัดให้การบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย “ตกต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่ง” ในการตัดสินโทษผิดในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไทย
นายซาริฟีเอ่ยถึงการเพิ่มจำนวนของคดี ๑๑๒ หลังการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ที่เพิ่มขึ้นมากมายถึงกว่า ๙๐ คดี ว่า
“กฎหมายนี้มีความร้ายแรงยิ่งกว่าเก่าเมื่อดูจากการลงโทษที่หนักหน่วงมาก ขยายวงกว้างออกไปอีกให้ไปรวมถึงกษัตริย์ที่ตายไปนานแล้ว และแม้แต่กับสุนัขทรงเลี้ยง กับมีความกำกวมหนักข้อเมื่อไปเอาผิดกับการคลิกไล้ค์บนเฟชบุ๊ค”
กระทั่งทูตสหรัฐก็ยังถูกสอบสวนจากคำปาฐกถาเมื่อเดือนที่แล้ว แสดงความกังวลถึงการตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลานานภายใต้กฎหมายหมิ่นฯ นี้”
(http://www.channelnewsasia.com/…/thai-militar…/2351990.html…)
มิใยที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ กิจการเอเซียตะวันออกของสหรัฐ นายแดเนียล รัสเซิล จะกล่าวย้ำระหว่างการแวะเยี่ยมไทยเมื่อวันพุธ (ที่ ๑๖ ธ.ค.) นี้ว่า
“อยากเห็นประเทศไทยประสบความสำเร็จ และนั่นรวมถึงความสำเร็จในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย ที่เปิดช่องให้เราสามารถตระหนักได้เต็มเปี่ยมกับความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างกันอันพิเศษ”
นายรัสเซิลบอกกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำไทยว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศพันธมิตรอันยาวนานจะเฟื่องฟ่องต่อไปได้ดี ก็ด้วยการที่ประชาธิปไตยได้รับการฟื้นฟู”
(http://www.seattletimes.com/…/us-tells-thailand-a-return-t…/)
แน่ละ มีหรือผู้นำไทยจะไม่โต้ บีกตู่มอบให้รองโฆษกรัฐบาล พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค ‘สอนมวยมะกัน’ (พาดหัวข่าวมติชนว่างั้น)
(http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1450253480)
“เราไม่ได้ถอยห่างจากหลักประชาธิปไตยเลย ซึ่งเราทำให้เห็นตัวอย่างแล้วว่าเรากำลังทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนคนไทยมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง” และ
“อยากให้มองหลายมุม อย่ามองมุมประชาธิปไตยมุมเดียว ในแง่มุมของเรื่องความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศเราด้วย พยายามมองหลายๆมุม ก่อนจะประเมินอะไร”
“ในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกนั้น รัฐบาลให้เสรีภาพสื่อและประชาชนในการแสดงออก ไม่ได้ปิดกั้น แต่ต้องไม่สร้างความขัดแย้งในสังคมเพิ่ม”
อันนี้ ผู้ช่วย รมว. ‘มะกัน’ ไม่ทันตอบ ต้องเดินทางต่อไปทำภารกิจอื่น หากแต่ถ้าท่านผู้อ่านย้อนขึ้นไปดูกรณีจับกุม คุมขัง ลงโทษต่างๆ ข้างต้น ก็คงเห็นคำตอบได้ง้าย ง่าย
“สำหรับประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและการค้ามนุษย์นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพียงฉบับเดียว เกี่ยวกับการจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”
นี่แหละถึงได้มีรายงานข่าว investigative ของสำนักข่าวเอพี ถึงการที่ดีเอสไอบุกเข้ากวาดล้างแหล่งแรงงานปอกกุ้งชาวพม่านอกกฎหมายที่มหาชัย (Gig Pealing Factory) ยัดใส่คุกเตรียมส่งกลับระนาว แต่ส่วนน้อยคนไหนมีเอกสารถูกต้องก็ให้กลับไปทำงานต่อ เจ๋งนะ
แต่ว่า ทีมผู้สื่อข่าวเอพีค้นพบว่า แรงงานเหล่านั้นเป็นแรงงานทาส ที่นอกจากค่าแรงต่ำกว่ามาตรฐานบานเบอะแล้ว ส่วนมากทำงานใช้หนี้พวกนายหน้าค้ามนุษย์แทบไม่มีเหลือกิน ซ้ำหนักชีวิตความเป็นอยู่สุดโทรม และถูกใช้งานตรากตรำเยี่ยงทาสจริงๆ
ก่อให้เกิดการรณรงค์ในสหรัฐให้ผู้บริโภคเลิกซื้อกุ้งต้มสำเร็จรูปที่ผลิตในประเทศไทย (อุตสาหกรรมกุ้งไทยส่งนอก ราวครึ่งหนึ่งขายให้แก่สหรัฐ)
นางซูซาน ค็อพเพ็ดจ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัคราชทูตด้านลักลอบค้าทาสแรงงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ในกรุงวอชิงตันเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนนี้เองว่า ระเบียบกฎหมายในสหรัฐยังมีช่องโหว่ ไม่สามารถห้ามสินค้ากุ้งเหล่านี้เข้าประเทศได้
แต่เธอหนุนกระตุ้นให้ผู้บริโภคกุ้งชาวอเมริกันใช้วิธีการกดดันโดย “พูดผ่านกระเป๋าใส่เงินไปถึงบริษัทเหล่านั้น ว่าเราไม่ต้องการซื้อสินค้าที่มาจากแรงงานทาส”
(http://bigstory.ap.org/…/ap-global-supermarkets-selling-shr…)
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีที่มาจากการยึดอำนาจ ทั้งเบื่อๆ อยากๆ ก็ยังต้องอยู่ต่ออีกไม่รู้กี่ปี เพราะขี่โพลสูงลิบลิ่วยิ่งกว่าปูติน (เป็นรองน้องคิมหน่อยเดียว) เชิดหน้าไม่ยี่หระ (ดูรูปทั่นทำเมินแดเนียลนั่นสิ) หันไปยิ้มร่าจับมือ รมว. แห่งรัฐของจีน
ทั่นรองโฆษกฯ วีรชนอีกแหละแจกแจงว่า มีการกระชับสัมพันธ์กับท่านหวังหย่ง ย้ำและเร่งรัดความร่วมมือทางการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การค้า การเกษตร การลงทุน และสาธารณสุข ครบถ้วนกระบวนมหามิตรใหม่
“ได้มีการลงนามกรอบความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนว่าด้วยความกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทยพ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕”
ถ้อยสำนวนยืดยาวปานนั้น สรุปสั้นๆ ก็คือโครงการรถไฟฟ้าโดยจีนที่ คสช. ฟันธงว่าของเขาแน่ แถมเป็น ‘real เผ่งอิ้ว’ รักกันจริงเท่าไหร่ไม่อั้น
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1450349528)
แต่ปรากฏว่าทั่นรองฯ ก็งานวุ่นล้นมือละสิ เลยตกๆ หล่นๆ เรื่องรายละเอียดข้อเท็จจริง เกี่ยวกับอัฐฬสที่จะต้องจ่ายออกไป ด้วยเงินคงคลังที่มาจากภาษีเก็บชาวบ้าน (ค่าแว็ตเป็นหลักใหญ่) แต่ถ้าจะมีเตะกลับมาบ้างไม่นับ
พอดี ประชาชาติธุรกิจ ไปรับทราบจากแหล่งข่าวคมนาคมมาว่า
“เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย และแก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง ๘๗๓ กิโลเมตร ที่รัฐบาลจีนส่งมอบให้กระทรวงพิจารณาเบื้องต้น สรุปว่าใช้เงินลงทุนทั้งโครงการกว่า ๕.๓ แสนล้านบาท...
ทำให้ต้นทุนก่อสร้างที่จีนเสนอมาสูง ต้องมาดูรายละเอียดกันใหม่ เช่น ค่าแรงขั้นต่ำที่ฝ่ายจีนเสนอมา เฉลี่ย ๑๖๐ หยวน/วัน คิดเป็นเงินไทย ๘๐๐ บาท/วัน (อัตราคำนวณหยวนละ ๕ บาท)...
นอกจากนี้ จีนยังเสนอให้ไทยสั่งนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากจีน เช่น เหล็กบางชนิด ซึ่งราคาค่อนข้างแพง”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1450261521)
อั้ยหยา มหามิตรใหม่ ยิ่งนานไปไหงไม่ถูกล่ะ