วันจันทร์, พฤศจิกายน 09, 2558
เขาเลือกกันแล้ว เมียนมาร์ย่อมเปลี่ยนไป ไม่ต้องปฏิอะไร และไม่รอเปลี่ยนผ่านแบบใคร แล้วไทยละ?!?
เขาเลือกกันแล้ว เมียนมาร์ย่อมเปลี่ยนไป ไม่ต้องปฏิอะไร และไม่รอเปลี่ยนผ่านแบบใคร
แม้นว่าถ้าพรรคทหารแพ้ ซูจีลูกอองซานก็จะไม่ได้เป็น ปธน. รัฐธรรมนูญแบบม่าๆ ว่าไว้
เหตุเพราะนางมีสามีฝรั่ง กับทั้งทหารจัดโควต้าพวกตนนั่งสมาชิกสภาไว้เพียบถึง ๑ ใน ๔
ผลเลือกตั้งจะอย่างไร อะไรหลายอย่างคงยังไม่เปลี่ยน ในเมื่อยังมีชนเชื้อมุสลิมและกลุ่มน้อย ไม่น้อยที่อดได้สิทธิหย่อนบัตร
ทั้งที่แว่วว่ามีไพ่ไฟประปรายในมันฑะเลย์ แต่ถึงกระนั้นงานนี้ประชาธิปไตยมีโอกาสเกิด
ต่างแต่ตอแหลแลนด์ซึ่งกำลังเนรมิตคิดสูตรใหม่เลือกตั้ง มุ่งทำหมันประชาธิปไตย หมายตีกันฝ่ายที่มักได้เสียงข้างมาก
วันก่อนเนติบริการตัวพ่องนั่งยัน บัตรคะแนนเสียงใบเดียวได้นกสองตัว มีอีแร้งหนึ่ง อีกาอีกหนึ่ง
อีแร้งที่มาหนุนเพื่อรอเก็บซากได้แก่ กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร อ้างว่าทำให้เปลี่ยนดุลทางการเมืองได้ดี
อีกราย ตลก. จรัญ ภักดีธนากุล รีบย้ำขออย่าลดระดับศาลรัฐธรรมนูญไปอยู่ในจำพวกองค์กรอิสระ กลัวจะอำนาจน้อยลง
(https://www.facebook.com/groups/378052825730240/477048192497369/?notif_t=group_activity)
อีกาน่าจะไม่พ้นตัวประธานเองพร่ำบ่นเสียจนหลุดไต๋ “เมื่อถามว่าถ้าพรรคยอมให้คนที่อยู่ต่างชาติบริหารต้องถูกยุบพรรคหรือไม่
นายมีชัยกล่าวว่าขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้นเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็อาจจะต้องยุบพรรคเพราะแสดงว่าพรรคนั้นไม่มีคนดีที่จะบริหาร...
ถามว่า กกต.เคยมีการพิจารณากรณีคนอยู่ตางประเทศบริหารพรรคการเมือง แต่มีมติยกคำร้อง...
นายมีชัยกล่าวว่าเรื่องนี้คงไม่เขียนรายละเอียดในรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไปกำหนดในกฎหมายลูกว่าทำอย่างไร”
(http://www.thairath.co.th/content/537382)
อาการย้อนยับซับซ้อนร่างกติกา เตะถ่วงหน่วงเวลารอเถลิงศกใหม่ กลางๆ ปลายๆ ๖๐ นั่นเข้าทำนองดังเอเซีย เซ็นติเนิล เจาะไชเอาไว้ว่า
“กำลังพยายามฟอกขาวชำระภาพพจน์กันก่อนเปลี่ยนผ่าน”
อันเนื่องมาแต่เครือข่ายใกล้เบื้องฯ ล้วนแต่แบ่งสรรปันส่วน ‘ในหลวง’ (บัตรชำระหนี้ตามกฏหมาย) กันเพลิดเพลินตามธรรมเนียมเสียจนแปดเปื้อนเครื่องแบบขนานใหญ่
ร้อนถึงโฆษกทหารบกต้องออกมาปฏิเสธทุกกรณีที่ “พบความเกี่ยวข้องกับนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ. การสืบสวนยังพบด้วยว่านายทหารทั้งสองคนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เพิ่งเปิดไปได้ไม่นานนี้”
(http://www.thairath.co.th/content/537718)
แต่กับการดำเนินคดีขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญาเพื่อให้ผ่อนคลายแรงกดดันของประเทศตะวันตกในอียูและสหรัฐ ซึ่งมอบหมายให้ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ กำกับการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนบัดนี้มีการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว ๙๑ ราย
ล่าสุดมีการออกหมายจับนายทหาร ๔ คน ล้วนอยู่ในส่วนรักษาความมั่นคงในจังหวัดภาคใต้ที่เกิดคดีทั้งนั้น
การสอบสวนคืบหน้าไปอย่างดียิ่ง หากแต่ได้มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.ปวีณ ไปประจำการศูนย์ปฏิบัติการภาคใต้เสียฉิบ
ทำให้รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๘ ประกาศลาออก อำลาชีวิตข้าราชการตำรวจ เนื่องจากหวาดกลัวในความปลอดภัยหากต้องไปประจำการภาคใต้
(http://www.thairath.co.th/content/537703)
ความลักลั่น เลือกปฏิบัติเพื่อปกป้องพวกพ้องเช่นนี้ มิอาจที่จะฟอกขาวได้หมดจดได้เลย หลักธรรมภิบาลที่นายจรัญ ตลก. ศาลรัฐธรรมนูญ ไปบรรยายเมื่อวันก่อน มันตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับทางปฏิบัติที่รัฐบาลของ คสช. กระทำอยู่ตลอดมา
แม้แต่ในกระบวนการศาลปกติที่ควรจะไม่ตัดสินด้วยการเมือง พบสม่ำเสมอภายใต้การปกครองของทหารปีกว่าที่ผ่านมา ว่าเต็มไปด้วยความลำเอียงผิดไปจากระเบียบกฏหมายสากลอย่างสิ้นเชิง
ล่าสุดเห็นได้ชัดเจนระหว่างการตัดสินคดีที่มีการขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ศาลตัดสินยกฟ้องด้วยข้ออ้างว่าหน่วยเลือกตั้งปิดตามมติกรรมการ ขณะที่กรรมการขณะนั้นอ้างว่าต้องปิดหน่วยเพราะผู้ใช้สิทธิไม่สามารถเข้าไปลงคะแนนได้
แต่กับคดีการก่อกวนเวทีชุมนุมของ กปปส. ซึ่งมีการยิงระเบิด เอ็ม ๗๙ ปรากฏว่าศาลตัดสินผู้ต้องหาช่วยขนอาวุธให้จำคุก ๔๓ ปี ขณะที่ผู้ที่ทำการยิงระเบิดดังกล่าวกลับไม่ถูกดำเนินคดี เนื่องจากอัยการขอกันตัวไว้เป็นพยานปรักปรำ
(http://prachatai.org/journal/2015/11/62298)
เหล่านี้เป็นลักษณะแจ่มแจ้งของการไร้ขื่อแปในบ้านเมือง ที่ทำให้สภาพสังคมมัวหมองอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านที่กำลังมาถึง