“อย่าได้ดีใจว่านักท่องเที่ยวจีนปีนี้มาเที่ยวไทยกันเยอะแล้วล่ะ ประเทศไทยยังติดอยู่ในปลัก” ขึ้นไม่ไหว
บทความในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทม์เมื่อวันที่ ๒๙
พฤศจิกายนนี้ ขึ้นต้นถึงภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ว่า “กำลังใกล้จะตาย และรายได้ในครัวเรือนก็ตกต่ำติดลบหนักที่สุดในเอเซีย”
“อาชญากรกชิงวิ่งราวในปีนี้เพิ่มขึ้น ๖๐ เปอร์เซ็นต์”
นายธอมัส ฟุลเลอร์ รายงาน
“ไม่มีใครอยากยิ้มอีกแล้วละ” สมเพชร พิมศรี
พ่อค้าผลไม้ในตลาดหลังวัดอรุณฯ ตอบนักข่าวต่างประเทศ “ชีวิตทุกวันนี้เครียดมาก
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง มันรู้สึกเหมือนว่าจะทำอะไรๆ ก็ไม่ได้ผลสักอย่างอีกต่อไป”
“ประเทศไทยเคยถือคบเพลิงนำหน้าเพื่อนบ้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งในด้านเสรีภาพและความรุ่งเรือง” บทความกล่าว “แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยมองดูเพื่อนบ้านด้วยความชื่นชม
ไม่อาจดูแคลนอีกต่อไป”
“ทางตะวันตกมองเห็นสัญญานของประชาธิปไตยเบ่งบานในพม่า
จากชัยชนะของนางอองซาน ซูจี ต่อคณะทหารที่กดขี่เธอมาหลายต่อหลายปี ทางตะวันออกเศรษฐกิจของลาว
กัมพูชาและเวียตนาม แสดงความแกร่งกล้า และดึงดูดการลงทุนของต่างชาติไปจากไทย”
“เราเองถอยหลังเข้าคลอง แต่พวกเขาก้าวไปข้างหน้า”
เป็นความเห็นของสมร ธุรพันธุ์ พ่อค้าวัย ๕๑ ปี คนขายก๋วยเตี๋ยวรถเข็นที่ใช้มอเตอร์ไซค์ลากไปตามท้องถนน
“วีระ ธีรภัทร นักจัดรายการวิทยุที่ได้รับความนิยมสูงคนหนึ่งบ่นว่า ทางเดียวที่จะให้ไม่สลดหดหู่ได้
ต้องไปเสียจากที่นี่ ไปเที่ยวต่างประเทศสักพัก ผมไม่รู้ว่าจะทนไปได้นานแค่ไหน
สงสัยต้องย้ายหนีเร็วๆ นี้” เป็นอีกข้อมูลดิบที่นักข่าวนิวยอร์คไทม์ได้มา
แต่อาจหาได้ยากจากศื่อในประเทศ
แม้ว่าในภาคส่วนของผู้มีอันจะกินไม่ได้แห้งเหี่ยวไปเสียทั้งหมด
ตามมอลและย่านธุรกิจหรูยังมีคนไปเดินเที่ยว ซื้อหา และรับประทานอาหารกันเนืองแน่น
แต่นายฟุลเลอร์ชี้ว่า ฉายาประเทศไทยเคยเป็นเศรษฐกิจ ‘เท็ปลอน’
นั้นอ้างอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว
แถวคลองสาน แผงร้านค้าปิดกันระนาว |
แม้แต่นายสมคิด จาตุรศรีพิทักษ์ อดีตรัฐมนตรีที่ คสช.
นำเข้ามาเป็นกูรูเศรษฐกิจคนใหม่ ก็ยังเคยพูดไว้ในปาฐกถาแห่งหนึ่งว่า “ประชาชนรู้สึกเศร้าหมองเก็บกด
เขาเปรียบเปรยประเทศไทยว่าเป็น ผู้ป่วยที่ต้องยืนสู้กับลมหนาว”
“แต่การยึดครองของคณะทหารดูจะไม่มีการสิ้นสุด
และกองทัพก็ดีแต่คอยโต้เสียงวิพากษ์ ควบคุมตัวพวกโปรเฟสเซอร์ นักการเมือง
นักหนังสือพิมพ์ และนักศึกษา แล้วจัดการคนเหล่านี้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ปรับทัศนคติ”
บทความกล่าวถึงการเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังของผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์
๓ คนเมื่อเร็วๆนี้
มีเสียงระบายความอึดอัดตามโซเชียลมีเดียว่าขณะนี้ประเทศชาติปราศจากแนวนำทาง
การปกครองโดยทหารกลับย้อนแย้งให้สาธารณะเกิดความหวาดกลัว
ตามข้อมูลของทางการตำรวจ จำนวนอาชญากรรมลักขโมยและช่วงชิงทรัพย์ในปีงบประมาณนี้มีถึง
๗๕,๕๕๗ รายการ สูงกว่าปีก่อน ๖๓ เปอร์เซ็นต์
จำนวนเพิ่มของอาชญากรรมร้ายแรงมีถึง ๑๗ เปอร์เซ็นต์
ปัญหาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องปวดหัวประจำวัน
โดยเฉพาะในหมู่ผู้ค้าและแรงงานใต้ดิน
ธุรกิจสีเทาเหล่านี้ครอบงำถึงสองในสามของแรงงานในแวดวงการค้าของประเทศ
“ทุกๆ เช้าเราต้องบ่นกันเรื่องการทำมาหากินฝืดเคือง”
นางรัศมี สีดามัตย์ แม่ค้าขายส้มตำไก่ย่างคนหนึ่งเล่า “แย่ลง แย่ลง แย่งทุกที”
แม้กระทั่งนายหน้าเงินกู้นอกระบบ หรือ loan sharks ที่คิดค่าดอกร้อยละ ๒๐ ต่อพ่อค้าแม่ขายตามตลาดก็ยังบ่น
นายเค. ซิงห์ ‘ฉลามเงินกู้’ คนหนึ่งยอมรับกับคุณธอมัสว่าเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้หมายถึง
คนกู้ไปแล้วไม่มีปัญญาใช้คืน
เสื้อ Bike for Dad ขายตามแผงราคาตัวละ ๑๖๐ บาท |
ในย่านเสื้อผ้าของกรุงเทพฯ ร้านรวงพากันปิดตัวเองลงเป็นแถว ทองย้อย
แพสุวรรณ วัย ๒๙ ปี เจ้าของร้านเครื่องแต่งกายแห่งหนึ่งระบายความรู้สึกว่า
ลูกค้าเดี๋ยวนี้จ่ายยาก คิดแล้วคิดอีกก่อนจะตกลงใจซื้อ
“มันเหมือนกับว่าผู้คนแย่งกันแทะกระดูกปลา” แม่ค้าเสื้อพูดถึงเศรษฐกิจไทย
“มันเคยเป็นปลาตัวใหญ่นะ เดี๋ยวนี้เหลืออยู่แต่เนื้อติดก้างนิดหน่อย”
ทองย้อยไม่หวั่นที่จะบริภาษณ์คณะฮุนต้า “หนูไม่ฝันที่จะมีรัฐบาลสุดยอดอุดมการณ์อีกแล้วละ
พวกเราแค่ต้องการเอาตัวรอดไปวันๆ”
(ถอดเนื้อเรียงถ้อยเป็นไทย จากบทความของนายธอมัส ฟุลเลอร์
ในหนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์ค ไทมส์ เรื่อง ‘Thai Economy and Spirits are Sagging’.
http://www.nytimes.com/2015/11/30/world/asia/thailand-economy-tourism.html?smid=tw-share&_r=0)