วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 26, 2558

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องไทยยุติการควบคุมตัวพลเรือนในค่ายทหาร ระบุมีแนวโน้มนำไปสู่การซ้อมทรมาน




ที่มา บีบีซีไทย

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกร้องไทยยุติการควบคุมตัวพลเรือนในค่ายทหาร ระบุมีแนวโน้มนำไปสู่การซ้อมทรมาน

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (OHCHR) เรียกร้องให้ปิดสถานที่ควบคุมตัวของทหารในกรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้ถูกควบคุมตัวเสียชีวิตแล้ว 2 รายในเดือนที่ผ่านมา โดยทันที และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าร่วมกระบวนการสอบสวนในกรณีดังกล่าว นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการใช้พื้นที่ในเขตของทหารเพื่อควบคุมตัวพลเรือน

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ระบุว่า ผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการระเบิดเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2 คน และผู้ถูกจับกุมตัวในฐานความผิดฉ้อโกงและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีก 3 คน ได้ถูกส่งตัวมาควบคุมไว้ในเรือนจำชั่วคราวแห่งนี้ ต่อมาทางการไทยแถลงว่าพันตำรวจตรี ปรากรม วารุณประภา หนึ่งในผู้ถูกควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียชีวิตลงในเรือนจำเมื่อวันที่ 23 ต.ค.จากการแขวนคอตนเองด้วยเสื้อ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ ผู้ถูกควบคุมตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกรายหนึ่งถูกพบในสภาพเสียชีวิตแล้วภายในห้องคุมขังซึ่งทางการไทยแถลงว่า นายสุริยันเสียชีวิตเนื่องจากมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ได้ร้องขอให้รัฐบาลไทยดำเนินการไต่สวนกรณีการเสียชีวิตในสถานที่ควบคุมตัวอย่างเป็นกลาง อย่างละเอียด และโดยพลัน ทั้งนี้ นางมาทิลด้า บอคเนอร์ ผู้แทนประจำภูมิภาคของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ฯ ระบุว่า การตรวจสอบอย่างเป็นอิสระและเป็นกลางจะทำให้เกิดความกระจ่างในเหตุการณ์การเสียชีวิต อีกทั้งจะนำไปสู่การรับประกันความพร้อมรับผิด รวมทั้งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติควรเข้ามาช่วยเหลือในกระบวนการตรวจสอบในกรณีดังกล่าว และ ควรเผยแพร่ผลการตรวจสอบการเสียชีวิตต่อสาธารณชนด้วย

“การใช้ค่ายทหารเป็นสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยมีแนวโน้มว่าอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการซ้อมทรมานด้วย” นางมาทิลด้ากล่าว

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวถึงการอนุมัติให้เปิดเรือนจำชั่วคราวว่าเป็นไปตามคำร้องขอของหน่วยงานความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์มีหน้าที่ต้องอำนวยความสะดวกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรือนจำดังกล่าวคุมขังผู้ต้องขัง 2 คดี คือคดีระเบิดราชประสงค์ และคดีความผิดมาตรา 112 โดยทั้งหมดเป็นคดีที่อยู่ในความผิดชอบของตำรวจ ยืนยันว่าเรือนจำชั่วคราวไม่ใช่เรือนจำทหาร เป็นเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ มีระเบียบการดูแลในเรือนจำดังกล่าวเหมือนเรือนจำอื่น เปิดใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องของการเบิกตัวและการประสานงานต่างๆให้มีความรวดเร็วขึ้น เพราะมีผู้ต้องขังจำนวนน้อย

ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ จะหารือข้อกฎหมายกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีหากจะเปิดเรือนจำชั่วคราวฯ แห่งนี้ ให้สื่อเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนว่าเรือนจำมีมาตรฐานอย่างไร ข้อกฎหมายจะสามารถทำได้หรือไม่ เพื่อคลายความสงสัย