เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำนักงานใหญ่บริษัทไมโครซ้อฟในสหรัฐมีจดหมายตอบองค์การพิทักษ์สิทธิส่วนบุคคลนานาชาติ
(Privacy
International) ซึ่งมีสำนักงานกลางอยู่ที่กรุงลอนดอน
ต่อกรณีที่องค์กรสิทธิดังกล่าวพยายามขอความกระจ่างในคดีที่ทางการไทยลงโทษจำคุกพนักงานบริษัทหลักทรัพย์คนหนึ่งเป็นเวลา
๖ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ เหลือ ๔ ปี
เนื่องจากบริษัทไมโครซ้อฟประเทศไทยจัดส่งรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวทางอีเล็คโทรนิคของผู้ต้องหาให้แก่อัยการ
เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการปรักปรำและพิพากษาความผิดผู้ต้องหาระหว่างการอุทธรณ์ในเดือนมีนาคม
๒๕๕๗
จดหมายตอบของไมโครซ้อฟยอมรับว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๒
ศูนย์ความปลอดภัยอินเตอร์เน็ต ในสังกัดกระทรวงไอซีทีประเทศไทยได้เรียกร้องให้บริษัทไมโครซอฟประเทศไทยจัดส่งรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บัญชีฮ้อตเมลรายหนึ่ง
อ้างว่ากระทำผิดโดยการเผยแพร่ข่าวสารอันทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับความเสียหาย
ไมโครซ้อฟตอบสนองด้วยการจัดส่งให้ตามนโยบายให้ความร่วมมือกับผู้รักษากฏหมายท้องที่
ทั้งในปี ๕๒ และ ๕๗ ซึ่งแจ้งวัตถุประสงค์และสาเหตุถูกต้องตามระเบียบที่ปรากฏ
โดยที่เข้าข่าย “อย่างน้อยที่สุดรวมถึงรายละเอียดระดับสูงเกี่ยวกับธรรมชาติแท้จริงของความผิดนั้น”
แต่รายละเอียดที่ได้รับดังกล่าวจากคำร้องขอข้อมูลในประเทศไทยกลับชี้ว่า
“ไม่เคยได้รับทราบล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำว่าพัวพันกับการสอบสวนคดีความผิดตามกฏหมายปกป้องมิให้หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
ทั้งนี้ องค์การพิทักษ์สิทธิส่วนบุคคลได้พยายามขอความกระจ่างจากบริษัทไมโครซอฟประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี
๒๕๕๗ ไม่ได้รับการตอบสนอง
จึงต้องติดต่อตรงถึงบริษัทแม่ในสหรัฐหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งเมื่อต้นเดือนนี้
รายงานของ Privacy International ระบุว่าเข้ามาทำการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเอาจริง
เริ่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ “โดยปกติเป็นที่เข้าใจกันว่าการร้องขอข้อมูลผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตโดยรัฐบาลท้องถิ่นมักจะเกี่ยวกับการสอบสวนคดีก่อการร้ายหรืออาชญากรรมข้ามชาติ
แต่ไมโครซ้อฟยื่นข้อมูลส่วนตัวอันมีความเสี่ยงสูงต่อสวัสดิภาพของผู้ใช้ให้กับรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในไทย
โดยเข้าใจผิดว่าเป็นการช่วยเหลือสอบสวนเรื่องข้อมูลไม่ถูกต้องที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นจริงๆ
แต่แล้วกลับกลายเป็นการดำเนินคดีต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น”
รายงานการสืบสวนของ Privacy International กล่าวว่า “คดีของนายคธา
ปาจริยพงษ์
ผู้ถูกกล่าวหาว่าเผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับพระพลานามัยไม่สมบูรณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
ทำให้หุ้นตกอย่างไม่เป็นท่า เผยให้เห็นวิธีการแอบแฝงของราชการลับไทย...
ทั้งกฏหมายที่ใช้และการสืบสวนสอบสวน ก่อให้เกิดการคุกคามต่อทั้งสิทธิความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก
แม้นายคธาจะถูกตัดสินผิดด้วย พรบ. คอมพิวเตอร์ แต่ก็มีความกังวลกันว่า
มีการใช้กฏหมายนี้เป็นตัวแทนด่านหน้าให้กับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันอื้อฉาว”
คดีดังกล่าวศาลอาญา ถนนรัชดาฯ ตัดสินเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม
๒๕๕๕ ให้นายคธา ปาจริยพงษ์ พนักงานฝ่ายการตลาดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง
ตอนนั้นอายุ ๓๖ ปี มีความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
จนเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
จำเลยใช้ชื่อว่า ‘wet dream’ “ส่งเป็นจดหมายอีเล็คโทนิคส์ (e-mail) จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ทราบข้อความดังกล่าวเข้าใจว่า
พระมหากษัตริย์ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลือง และสมเด็จพระเทพฯ
ก็เหมือนพระมหากษัตริย์ที่ทรงโปรดแต่พวกเสื้อเหลืองพันธมิตร
และพระมหากษัตริย์ป่วยหนัก”
และ “เจ้าหน้าที่ศูนย์กลางความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบ IP Address พบความถี่จากการเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสต์คอมพิวเตอร์ของจำเลย
ปรากฏว่ามีการกดเข้าเว็บไซต์กว่า ๒๙,๐๐๐ ครั้ง”
โดยเหตุที่จำเลยต่อสู้คดีในระหว่างอุทธรณ์เมื่อเดือนมีนาคม
๕๕ ว่า ระหว่างมีการโพสต์ข้อความตามฟ้อง ตนไปสัมมนาต่างจังหวัด
ไม่มีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ที่จะนำลงข้อความได้ แต่ศาลไม่รับฟังอ้างว่าจำเลยทำงานเกี่ยวกับการลงทุน
โดยยึดหลักฐานปรักปรำสามชิ้น
คือ ๑. การสืบสวนโดยปกปิดของหน่วยข่าวกรองแห่งชาติและสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สามารถล้วงความลับเชื่อมโยงระหว่างที่อยู่อีเมล stamp816@hotmail.com กับชื่อบัญชีผู้ใช้ Wet Dream ได้ และ ๒.
จดหมายรับรองจากธนาคารกรุงไทยยืนยันว่านายคธาเป็นเจ้าของอีเมล stamp816@hotmail.com จริง
ประการที่สามซึ่งมีความสำคัญต่อการตัดสินความผิดผู้ต้องหาเป็นจดหมายจากไมโครซ้อฟประเทศไทย
แจ้งรายละเอียดส่วนตัวทางอีเล็คโทรนิคของนายคธา ยืนยันว่าเป็นเจ้าของ IP address : stamp816@hotmail.com
อย่างไรก็ดี รายงานขององค์กรพิทักษ์สิทธิส่วนตัว
ซึ่งมีนางอีวา บลูม-ดูแมนเตต์ เป็นผู้ทำการวิจัย ให้ข้อคิดว่า
ไอพีแอ๊ดเดรสไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนโดยจำเพาะของบุคคลได้เสมอไป เพราะไม่ได้เจาะจงใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องใด
และไอพีหนึ่งใดก็สามารถใช้กันได้หลายคน
ดังคดีของนายคธา
เครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาในสำนักงานไม่มีการจำกัดด้วย Password ใครก็ตามอาจที่จะไปใช้ได้
แต่ด้วยจดหมายยืนยันของไมโครซ้อฟว่าเขาเป็นเจ้าของไอพีและอีเมลแอดเดรสที่ถูกกล่าวหา
ศาลไทยจึงใช้ข้ออ้างนี้สั่งขังคุกนายคธาดังกล่าว
นี่อาจถือเป็นความผิดพลาดของไมโครซ้อฟ
ในความยำเกรงรัฐบาลเผด็จการท้องถิ่นมากเสียจนทำให้สิทธิของมนุษยชนธรรมดาถูกละเมิด
นางอีวา บลูม-ดูแมนเตต์กล่าวถึงคดีคล้ายคลึงกันเมื่อสิบปีที่แล้ว
เมื่อเว็บไซ้ท์ยาฮูยอมส่งมอบไอพีผู้ใช้คนหนึ่งให้แก่รัฐบาลจีน
ก่อนการประท้วงครั้งใหญ่ที่จตุรัสเทียนอันเหมินในจีน
กลุ่มสมัชชาประชาธิปไตยเอเซียได้ส่งคำเตือนรายการคำสั่งเซ็นเซอร์ออกไปอย่างแพร่หลาย
ยาฮูปฏิบัติตามการเรียกร้องของทางการส่งไอพีแอดเดรสของนายชี เต๋า
นักหนังสือพิมพ์ในฮูนานให้ เป็นเครื่องมือในการจับกุมและดำเนินคดี
ตัดสินจำคุกนายชี เต๋า ๑๐ ปี
คดีในครั้งนั้นเป็นที่วิพากษ์โจมตีอย่างแรงโดยชุมชนตะวันตกต่อยาฮู
ซึ่งแก้ตัวว่ารู้เท่าไม่ถึงการ “นี่เป็นสิ่งที่รับไม่ได้อย่างสุดๆ อีกครั้ง
สิบปีให้หลัง” นางอีวากล่าว
“ที่บรรษัทยักษ์ของสหรัฐอีกแห่งหนึ่งยอมจำนนอย่างมืดมนต์ต่อข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่กดขี่...เมื่อไหร่กันที่
‘การแพร่หลายข่าวสารไม่ถูกต้อง’ มีความสมเหตุสมผลพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรม”
นางอีวาตอบโต้ข้ออ้างของไมโครซ้อฟที่ว่าส่งข้อมูลให้ทางการไทยด้วยเหตุดังกล่าว
“เรายินดีที่บรรษัทข้ามชาติอย่างไมโครซ้อฟปฏิบัติตามกฏหมายท้องถิ่น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะใช้เป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงหลักการสิทธิมนุษยชนตามมาตรฐานสากล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดี (ประเทศไทย) นี้ มันเกี่ยวโยงโดยตรงกับสิทธิในการแสดงออก”