วันจันทร์, พฤศจิกายน 23, 2558
เมื่อเวลา ‘ฟ้า’ ครวญ เราก็นิ่งไม่ไหว ใช่จำใจไม่จำเป็น เห็นหัวอกคนดี
เมื่อเวลา ‘ฟ้า’ ครวญ เราก็นิ่งไม่ไหว ใช่จำใจไม่จำเป็น เห็นหัวอกคนดี
ในเมื่อเธอว์บอกไว้ “ต่างคนต่างอุดมการณ์ ก็ไม่จำเป็นต้องมาแตกแยก”
อีกทั้ง “วอนขอความเป็นธรรมจาก พี่ๆ ผู้สื่อข่าว และประชาชน...และกราบบอกสื่อ ที่เอาข่าวที่ฟ้าโพสไปลงช่วยแก้ข่าวด้วย”
“ขอชี้แจงและมาขอโทษลุงกำนัน ที่ฟ้าอารมณ์ร้อนอาจเพราะความเครียด หวังว่าทุก ๆ ท่าน พี่น้อง กปปส. อภัยให้กับฟ้าด้วย ที่ลงไปตามใจตัวเอง”
แม้จะมีอีหนูมาเม้นต์ “Wiphaporn Unjan ในฐานะลูกผู้หญิงน่าเห็นใจค่ะ ก็ลองคิดดูว่าแกเข้าข้างเขามาตลอดเขากลับมาทำกะแกอย่างนี้ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยยิ่งลักษณ์ เป็นเรื่องธรรมดามากเพราะวิจารณ์ได้ เหตุการณ์นี้คงสอนให้คุณฟ้าทราบว่า ประชาธิปไตยกับเผด็จการต่างกันอย่างไร ไม่เจอกับตัวเองไม่รู้”
แต่ที่ “ฝากถึงฝั่งตรงข้ามที่มาด่าว่าลุงกำนันนะ ไปด่าไอ้แม้วโน้น” ชั่งหัวมัน
(https://www.facebook.com/pronthipa.fah/)
เรื่องตอนนั้นอยู่ สน.ดุสิต ‘น้อยใจมาก’ ของหญิงเกรียนชื่อ ฟ้า พรทิพา สุพัฒนุกูล นกหวีดตกร่องสวรรค์ ติดพันมหการฟันเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
หลังจากเจ้าหล่อนร่อนจดหมายน้อยถึงท่านประยุทธ์ แล้วลากหลานน้อยไปช่วยกันนั่งรอหน้าทำเนียบ
“มาวันนี้ต้องเจอเป็นผู้ต้องหา เป็นภัยต่อความมั่นคง และถึงยึดเครื่องมือทำมาหากินทั้งหมด...
ชีวิตไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น เพราะที่ทหารยึดมา มันคือข้าวของที่กว่าครอบครัวเราหามาได้เลือดตาแทบกระเด็น”
นั่นคงไม่ดราม่า เพราะไม่เห็นว่ากระแสจุดติด จึงต้องเอาใหม่ น้อยอกน้อยใจลุงกำนัน
“ในช่วงชุมนุมก็ช่วยทุกอย่างเท่าที่ช่วยได้ ทั้งกำลังกายและเงินสมทบบางส่วน เวลาเดือดร้อนเหมือนไม่มีใครเลย....หลายคนอาจว่าฟ้า ว่ามาทวงบุญคุณ แต่แอบน้อยใจบ้าง ในฐานะหลานลุง”
นับญาติว่าแม่ของลุงเป็นพี่ของตา...ทุกอย่างตรวจสอบได้ แต่ประการสำคัญ “วันนี้โทรไปสี่ครั้งไม่รับสาย อย่างน้อยถ้าลุงกำนันตามข่าวจะต้องรู้ ว่าเดือดร้อนมาก รอไม่ได้”
แต่ตอนนี้รอไหว รู้แล้วว่าลุงกำนันติดพัน “ปั่นจักรยานหาเงิน สมทบทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์”
เพียงแต่วอนขอความเป็นธรรมพี่ๆ ผู้สื่อข่าวและประชาชน ช่วยประกาศหน่อย “สำหรับข่าวที่ออกไปว่าสถานีเถื่อน...
เราจ่ายทุกเดือน ค่าเช่าสัญญาณพร้อมใบอนุญาต ถ้าของเราเถื่อน ipm จะปล่อยได้หรือค่ะ ถ้าผิดก็ผิดที่ ipm เพราะเราไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว”
ก่อนหน้านั้น “ช่วงเวลาตีสอง ๔๓ นาที ที่ยังนอนไม่หลับ และยังสับสนที่จะสู้ต่อยังไง...ชีวิตเหมือนละครน้ำเน่า ที่หลายคนอาจไม่เข้าใจ
มาวันที่ทหารบุกบ้าน บุกฟ้าให้ทีวี อ้อนวอนขอร้องจนหมดแรง ว่าอย่าเอาแขนขาครอบครัวเราไป. กว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ เลือดตาแทบกระเด็น มาวันนี้มันหายไปกับการ ‘รู้เท่าไม่ถึงการ’ (catch phrase)
รักชาติ รักทหาร สิ่งที่ตัวเองพูดเสมอมา.,, แต่มาวันนี้ทหารบุกบ้าน มายึดของ เครื่องมือที่ทำมาหากินเลี้ยงคนหลายชีวิต มาจบสิ้นภายในพริบตา แถมตำรวจจับเข้าห้องขัง ๑ คืน ถามว่าใจสู้ไหม สู้”
สู้ยังไง “ไม่ถอยสู้ทุกปัญหา เพราะปัญหามีให้แก้ไม่ได้มีให้กลุ้ม โดยเฉพาะทหารที่ฟ้ามีความเขื่อมั้น กับการให้ความเป็นธรรมต่อชาติและประชาชน เมื่อความจริงคือว่าประชนชนผู้บริสุทธิ์ ตกเป็นเหยื่อเกมของคนบางคน ที่หวังผลทางการเมือง” (เจอแล้ว the real suspect.)
ก่อนหน้านั้นอีกหน่อย ฟ้า “ขอให้อ่าน ความจริงจากใจวอนถึงสังคมที่ไม่เข้าใจ...
ทหารผิดไหมที่เข้าบ้านประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ไม่เคยคิดร้ายต่อชาติต่อแผ่นดิน รักพ่อหลวง แต่ได้รับผลตอบแทนแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือต่อสังคม”
จึงมีคนหนึ่งถามท้วง “Bundit Traiaksorn เมื่อปีที่แล้วยังไปตะโกนว่ารักชาติ รักทหาร ต่อหน้าคนประท้วงต่อต้าน คสช. อยู่เลยไม่ใช่หรอครับ?
แล้วตอนนี้ไม่รักทหารแล้วหรอครับ แหม่ แหม่ แหม่
https://www.youtube.com/watch?v=TZswHYX_4_k”
อีกมากมายหลายคนไปร่วมสอดใส่ความเห็น รวมทั้งคนที่หล่อนเรียกว่า “รอให้ตายก่อนถึงจะไปติดต่อคนชั่วพวกนั้น ไม่ว่าลีน่าจัง หรือตั้ง อาชีวะ หรืออั้มเนโกะ จำได้ใหมว่าใครคนแจ้งความจับอีอั้ม”
หลายคนหวังว่าน่าจะได้อ่านของ Jessada Denduangboripant คงทำให้นางปลงได้บ้าง
“ครั้งแรก ‘เขา’ มาจับพวกคาทอลิก
แต่ฉันเป็นโปรเตสแตนต์, ฉันจึงเฉยเสีย
ต่อมา ‘เขา’ มาจับคอมมิวนิสต์
แต่ฉันไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์, ฉันจึงไม่ได้ทำอะไร
ต่อมา ‘เขา’ มาจับพวกสหภาพแรงงาน
แต่ฉันไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น, ฉันจึงยังนิ่งอยู่
จากนั้น ‘เขา’ มาจับคนยิว
แต่ฉันไม่ได้เป็นคนยิว, ฉันจึงยังนิ่งเฉยดังเดิม
และเมื่อถึงเวลาที่ ‘เขา’ มาจับฉัน
ก็ไม่เหลือใครสักคนที่คิดจะพูดหรือทำอะไร…
They first came for the Catholics,
but I was a Protestant, so did nothing.
Then they came for the Communists,
but I wasn’t a communist, so I did nothing.
Then they came for the trade unionists,
but I wasn’t a trade unionist, so I did nothing.
Then they came for the Jews,
but I wasn’t a Jew, so I did nothing.
By the time they came for me,
there was nobody to speak up.
บทกวึโดย Martin Niemöller ผู้ต่อต้านนาซียุคเรืองอำนาจ”
ว่าแล้วไงไม่ดราม่า ไม่หวังซีไร้ท์ ถ้าผู้ใดยังซึ้งใจรอได้ อาจมีตอนใหม่มาถม
เรื่องอย่างนี้จบยาก หากพล็อตรวม ‘รู้เท่าไม่ถึงการ’ และ ‘หวังผลทางการเมือง’ ไว้ด้วยกัน