ราชภักดิ์ยังไงไม่จบแน่ ในเมื่อสำนักข่าวอิศราแฉอีกระลอก ว่าโครงการนี้รัฐบาลอุ้มสม
จากคำของประธานตรวจเงินแผ่นดิน นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม “ในการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบประมาณ ๒ ส่วน ส่วนแรกเป็นงบกลาง จำนวน ๖๓,๕๗๕,๓๐๐ บาท
ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบเบิกจ่ายเงินคือ แผนกงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีทหารบก โดยเบิกจ่ายให้กับกรมยุทธโยธาทหารบก ไปดำเนินการ เบิกจ่ายไปแล้ว ๘๐% ส่วนที่สองเป็นเงินบริจาคที่ได้รับจากประชาชน”
(http://www.isranews.org/ใช้งบแผ่นดินสร้าง ๖๓ ล้าน/42962-%E0%B8%B7news01_42962.html#.VlbjoMlf7oA.twitter)
อีกทั้งอิศราอีกน่ะแหละ นำเอกสารคำสั่งและบันทึกมติ ครม. นับสิบๆ ออกมาเปิดกระทุ้งว่าโครงการราชภักดิ์เป็นการดำเนินงานของรัฐบาลแน่นอน
อย่างนี้แล้วทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.เธียรชัย นาควานิช จะดึงดันทุรังว่าเป็นเรื่องของทหาร โปร่งใส ไม่มีหัวคิวท้ายคิวอยู่อีกไม่ได้ละ
หรือว่าจะย้ายประธาน สตง. ไปตรวจเงินโรงหล่อ ให้เขาต้องเปลี่ยนนิวาสถานไปต่างประเทศเหมือน พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รองผู้การฯ ผลงานโรฮิงญา ละซี
แล้วการตั้งปลัดกลาโหม พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา มาเป็นประธานสอบกรณีราชภักดิ์ใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ปลายเปิด ไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่ คนที่ได้รับแต่งตั้งยังไม่กระตือรือล้นจะออกมาแจงแผนงาน มันก็ยิ่งอึมครึมหนักเข้าไปใหญ่
ในเมื่อน้องชายนายกฯ ทั่นนี้ ปัญหาเงินกองทัพเอาไปฝากแบ๊งค์บัญชีเมีย ยังเป็นชนักอยู่นะ
ที่บอกๆ กันทุกคราว่าทหารโปร่งใส ไม่มูมมาม ก็ไม่จริงอีกหละ ตัวเล็กตัวน้อยที่มักกร่างกับชาวบ้านยังไม่พอ
ล่าสุดนี่ ราบ ๑๖ รอ. ส่งหนังสือราชการขอความอนุเคราะห์สุรา ๑ ลัง จาก สภ. คลองลึก ซะงั้น
อ้างว่า “เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ แสดงออกซึ่งความจงรักภักดี” ดีนะไม่กำหนดด้วยว่าต้องเอาชีว้าส
เหตุนี้ถึงมีทั้งภาคประชาชน และภาคการเมืองออกมาเรียกร้องให้ตั้งองค์กรที่เป็นอิสระมาสะสางเรื่องอุทยานราชภักดิ์
หวังว่าจะไม่ใช้วิธีโวยเข้าใส่แบบว่า ‘ชุดเดิม’ บ้าง ไรบ้าง อย่างที่จวกพวกคณาจารย์ต้าน ‘มหาวิทยาลัยเป็นค่ายทหาร’
“สอนให้เด็กไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองสอนหรือเปล่า ปัดโธ่ แล้วตอนรัฐบาลที่แล้วอยู่ไหน” เอ้า ก็ตอนนั้นมันไม่มีความจำเป็นต้องสอนผู้ (ยิ่ง) ใหญ่ นี่นา
ซ้ำร้ายปล่อยโพล่งออกมาตามคุ้น “ถ้าประชาชนจะเคลื่อนไหวตามเขาเดือดร้อนอะไรก็ตามใจผมไม่รู้ แล้วเดี๋ยวถ้าใครหาปืนมายิง โยนระเบิดใส่ก็ตายไปแล้วกัน ถ้าไม่กลัวก็ตามใจ”
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1448363498)
พูดแบบนี้เป็นประจำนี่แหละ ต่างประเทศเขาถึงระแวงระไว เผด็จการไทยไว้ใจไม่ได้ จู่ๆ เดี๋ยวก็ genocide เอาง่ายๆ
ดูที่แถลงเรียกร้องเมื่อวานนี้ของฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ ผอ. แบร๊ด แอดัมส์ บอกว่า ข้อกำหนดที่คณะทหารฮุนต้าเสนอให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยัดเอาไว้ในตัวบท เพื่อนิรโทษกรรมแก่ทหารไม่ว่ากิจใดที่ได้กระทำ (A blanket immunity clause)
เท่ากับเป็น ‘License to kill’ “คณะทหารสามารถกระทำการข่มเหงต่างๆ โดยไม่ต้องกลัวถูกดำเนินคดี”
และ “จากการที่คณะทหารไทยมีประวัติยาวเหยียดในการละเมิดสิทธิมนุษยชน” บทนิรโทษกรรมทหารนี้จะเป็นใบสั่งฆ่าอย่างทางการแน่นอน
(https://www.hrw.org/…/thailand-constitution-give-soldiers-l…)
การแจ้งผิดและกล่าวโทษโดยองค์กรต่างประเทศเช่นนี้ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คณะทหารไทยยั้งมือไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามอำเภอใจเสมอไป ได้บ้างไม่มากก็น้อย รวมไปถึงกระบวนการเมืองและการบังคับใช้กฏหมาย ทั้งทางเจ้าพนักงานความมั่นคงและการศาล
โดยเฉพาะจากองค์กรที่มีแรงกระทุ้ง ดังกรณีประธานกรรมาธิการสภายุโรปสองท่านส่งหนังสืออย่างทางการถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เชิญไปให้การต่อสมาชิกสภายุโรปที่กรุงบรัสเซลล์หรือนครสตราส์บูร์ก แห่งใดแห่งหนึ่งตามแต่ความสะดวก
เป็นที่ชัดเจนว่าสภายุโรปซึ่ง “จะไม่ตกลงสัญญาการค้าเสรีกับไทยตราบเท่าที่ยังมีรัฐบาลทหารอยู่” ต้องการฟังความจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำประเทศจากการเลือกตั้งที่ถูกคณะทหารยึดอำนาจ
“เราเชื่อว่านี่เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยเพื่อจะได้มีการโต้วาทีอย่างเปิดเผยต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การที่ท่านถูกถอดถอนย้อนหลังและถูกดำเนินคดีในศาลฏีกา ก็เป็นสิ่งที่เราห่วงใย
รัฐสภายุโรปยืนหยัดแน่นเหนียวกับระบอบประชาธิปไตย และการส่งเสริมคุณค่าในทางประชาธิปไตย ด้วยเหตุนี้เราจะยินดียิ่งหากท่านรับคำเชิญของเรานี้”
ต่อกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ตอบข้อสัมภาษณ์ว่าจดหมายเชิญดังกล่าวอาจไม่ใช่ของจริง เพราะไม่ได้ส่งผ่านกระทรวงต่างประเทศ ก็โดนตอกหน้ากลับจากรายงานข่าวของeuractiv.com ว่า
“ในทางส่วนตัว บรรดาสมาชิกสภาอียูหัวเราะเยอะต่อข้อกระแนะที่ว่าจดหมายนั้นเป็นของปลอม”
(http://www.euractiv.com/…/shinawatra-letter-genuine-and-inv…)
นอกเหนือจากรายงานยืนยันโดยตัวแทนของนางเอ็มม่า บร็อก ประธานกรรมาธิการต่างประเทศ และนายเวอร์เนอร์ แลนเจ็น ประธานคณะตัวแทนอาเซียนแล้ว ยูแร็คทิฟยังรายงานความกังวลของรองประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน นางบาบาร่า ล็อคบิห์เลอร์ ซึ่งเป็นกรรมาธิการต่างประเทศด้วย
“สถานการณ์ผู้ลี้ภัยเป็นสิ่งที่ฉันห่วงมาก ตั้งแต่รัฐประหาร ๒๕๕๗ เป็นต้นมามีรายงานการเซ็นเซอร์และจำกัดเสรีภาพสื่ออย่างกว้างขวาง...
อีกทั้งนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชนแจ้งว่ามีการทรมานและปฏิบัติต่อผู้ต้องหาอย่างเลวร้ายโดยตำรวจและทหาร มีการจับกุมคุมขังอย่างอำเภอใจ ทั้งการดำเนินคดีโดยลำเอียง และสิทธิพิเศษเหนือกฏหมาย”
การเสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังของนายอุทัย คงหา เมื่อวานนี้ หรือการตายในเรือนจำหลักสี่ของนายวันชัย รักสงวนศิลป์ ชาวอุดรเมื่อปี ๒๕๕๕ หรือแม้แต่การตายอย่าง high profiles สามรายหรือมากกว่า จากข้อหาทุจริตในโครงการราชภักดิ์ที่ยังกรุ่นอยู่ขณะนี้ ล้วนเป็นหลักฐานชี้บ่งว่าภายใต้การปกครองของคณะทหารไทย สวัสดิภาพของประชาชนอยู่บนเส้นด้าย
ความผิดของนายอุทัยในคดีเผาศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ในเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งตัวอาคารไม่ได้ถูกเผาแต่อย่างใด มีแต่การเผายาง
(http://prachatai.org/journal/2015/11/62615)
ซึ่งทำให้เขาต้องโทษจำคุก ๕ ปี ๘ เดือน และจะได้รับการพักโทษปล่อยตัวสู่อิสรภาพในกลางเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
แต่กลับมีอันต้องมาเสียชีวิตก่อน โดยที่แพทย์แจ้งว่าสาเหตุเกิดจากโรค “ติดเชื้อในกระแสเลือด”