วันเสาร์, พฤศจิกายน 28, 2558

การตัดสินความโดยลำเอียงได้กลายเป็นธรรมเนียมใหม่ (new normal) ของไทย




ประยุทธ์ไม่หยุดดึงดันกับปัญหาราชภักดิ์

เมื่อนักข่าวถามว่า “มีการเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ" ทั่นก็ตอบอย่างปัญญานิ่มทันทีว่า

“รับผิดชอบเรื่องอะไร ไหนตอบมาซิ ปัดโธ่ และรัฐบาลนั้นรับผิดชอบไหมโครงการรับจำนำข้าว” โยงกลองไปให้อิปูว์อีกแระ มิน่าชื่อตู่

“รัฐบาลต้องรับผิดชอบในทางนโยบาย ซึ่งก็ได้ให้ไปแล้ว และผมให้ก็ด้วยความสุจริต ผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมให้ถูกตามระเบียบถูกตามงบประมาณหรือเปล่า ถ้าผมให้ถูกระเบียบต้องรับผิดชอบอะไร”

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1448624017)

ข้อความข้างต้นนั้นมันทั้งตอบในตัวเองและย้อนแย้งทั่นหัวหน้า คสช. เต็มเปา ลองเปลี่ยนจากคำ ‘ผม’ ไปเป็น ‘ดิฉัน’ ดูสิ ให้อารมณ์เอ็นจอยที่สุดเชียวละ อย่าไปบอก ปปช. ก็แล้วกัน พลิกตัวหกคะเมนตีลังกาไม่ทัน

โดยเฉพาะในกรณีที่ ปปช. บอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เอาข้าวไปเก็บโกดังเน่าเสียมากมาย นี่ก็มีข่าวใหม่สามมิติ เปิดโปงว่า

“รัฐบาล (ประยุทธ์นี่ละ) จะเอา ‘ปลายข้าว’ ซึ่งยังมีคุณภาพใช้ได้ราคาสูง แต่นำไปประมูลตีเป็นข้าวเสื่อมสภาพราคาถูกให้กับโรงงานอุตสาหกรรม

เซอร์ไวเยอร์ คู่สัญญาขององค์การคลังสินค้าที่ดูแลโกดังข้าวนี้กล่าวว่า ข้าวนี้เป็นข้าวปี ๒๕๕๕ มีสภาพตามปกติของข้าวที่มีอายุ ๓ ปี และไม่ได้มีสภาพเป็นข้าวเสื่อมสภาพที่จะไปขายราคาถูกๆ

ปลายข้าวอย่างดี พ่อค้าจะซื้อไปต้มโจ๊กขายได้ราคากิโลละ ๑๐-๑๕ บาท หากเป็นปลายข้าวธรรมดาก็จะขายทำอาหารสัตว์ก็ได้ แต่ไม่ใช่ขายทิ้งให้โรงงานอุตสาหกรรมราคาถูกๆ”

(as per Charan Ampornklinkeaw)

นั่นเป็นเรื่องต่อเนื่องจากโครงการจำนำข้าวที่ตกมาถึงมือรัฐบาลนี้ แล้วทำปู้ยี่ปู้ยำหาเรื่องเล่นงานปูว์ เอาให้ตายหยังเขียด

อ้างข้างๆ คูๆ นะว่าคดีจำนำข้าวคนที่จะโดนอำนาจทางปกครองเรียกค่าเสียหาย (คนที่โดนฟัดไม่ใช่นายกฯ แต่) เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายจำนำข้าว

แล้วก็การทุจริตราชภักดิ์มันเกิดในหมู่ผู้รับสนองนโยบายจากคณะรัฐมนตรีที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้ามิใช่หรือ

ส่วนที่ว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นต่อไปคนใกล้ชิดทำผิดก็ต้องลาออกไปให้หมด คนในกระทรวง ลูกน้องทำผิด แล้วต้องลาออกอย่างนั้นเหรอ”

อันนี้ถามใครที่ไหนก็ต้องตอบว่า ‘ใช่’ กันถ้วนหน้านะเธอว์ ไม่เชื่อไปถามวราดิเมียร์ดูบ้างยังได้




แล้วที่ปล่อยพวกลูกไล่หางแถวมนุษย์ห่มเหลืองกับมนุษย์ป้า ไปเย้วเย้วริมถนนวิทยุ นั่นก็ไม่แสดงเหรอว่ายกหางดันท้ายกันไม่ลืมหูลืมตา ทีนักศึกษา มธ. เขาจะลอยกระทงเอาวิชาทาสไปทิ้งน้ำ ทั่นยังให้คนไปห้ามพวกเขาได้



เราไม่อยากติติงเรื่องที่พระสุวิทย์อิสระชักนำมนุษย์ป้าไปประท้วงนายกลิน ที. เดวี่ส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยคนใหม่ ที่เพิ่งเข้าถวายสารตราตั้งต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เข้ารับตำแหน่งเต็มพิกัดอย่างทางการแล้วเมื่อวันก่อน

เพราะนั่นเป็นสิทธิที่ควรมีอยู่ในระบอบประชาธิปไตยสำหรับทุกผู้ทุกฝ่ายอยู่แล้ว

เชื่อว่าเจ้าตัวผู้ถูกประท้วงเขาก็คงรับได้ตามฟอร์ม แม้จะมีป้ายภาษาอังกฤษแบบผู้จงรักภักดีจวกด้วยคำ ฟุคๆ อะไรนั่น ก็คงได้แต่อมยิ้มที่เห็นอ้างตนกันนักว่า ‘not stupid’




ทั้งๆ ที่ข่าว ผู้จัดการ เองยังบอกไว้ว่า “และในวันพุธ (๒๕ พ.ย.) นายเดวีส์ แม้ย้ำถึงเสียงเรียกร้องของวอชิงตันที่ขอให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตย แต่เน้นว่าเขาไม่อยากให้มันเป็นไปในลักษณะของการชี้นิ้วต่อว่า ไทยจำเป็นต้องทำมันด้วยตนเอง”

(http://www.manager.co.th/around/ViewNews.aspx…)

แม้แต่กระบวนการสถิตย์ยุติธรรมที่ทูตสหรัฐทักท้วงเพราะมันไปล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิในการแสดงออก เสนอความจริงโดยสื่อสารมวลชน ก็จะต้องรื้อรากออกมาชำระกาฝากให้โปร่งใสกว่านี้หลายเท่า

การตัดสินความโดยลำเอียงได้กลายเป็นธรรมเนียมใหม่ (new normal) ของศาลไทย ไต่ระดับลงไปถึงศาลแพ่ง ศาลอาญาธรรมดาเสียแล้ว ไม่เพียงแต่อยู่ในหมู่ศาลการเมืองของพวกองค์กรอิสระ (ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกาคดีอาญาฯ ปปช. กกต. สตง. ฯลฯ) เหมือนช่วงหลังรัฐประหารครั้งก่อน

ยกตัวอย่างการตัดสินคดี ‘แพรวา’ ซึ่งเหตุเกิดจากเด็กสาวอายุ ๑๗ ปี ขับรถแซงซ้ายป่ายขวาบนทางด่วนไปเฉี่ยวเอาร๔ตู้บรรทุกผู้โดยสารแน่น รถตู้เสียหลักพลิกคว่ำพลิกหงายหลายตลบ มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ ๙ ราย เนื่องจากผู้ต้องหายังไม่บรรลุนิติภาวะ และขับขี่โดยไม่รออีกหนึ่งปีให้ได้มีใบอนุญาต




คดียืดเยื้อมาเป็นเวลา ๕ ปี ในที่สุดศาลอุทธรณ์ยืนกรานเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ให้ลงโทษจำคุกผู้ต้องหาสองปี แต่ยืดการรอลงอาญาไปเป็นสี่ปี ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ศาลแพ่งพิพากษาให้ผู้ต้องหาชดใช้แก่ผู้เสียหายเป็นเงินรวมกัน ๒๙ ล้านบาท จากที่ฝ่ายโจทก์ร้องขอ ๑๒๐ ล้านบาท

ค่าเสียหายที่ญาติผู้ตายจะได้รับจากคดีเอาแต่รอนี้ เฉลี่ยแล้วได้เพียงรายละ ๑.๕ ถึง ๑.๘ ล้านบาท และผู้บาดเจ็บก็จะได้เพียงรายละสี่แสน

(http://hilight.kapook.com/view/129626?line=1)

เงินชดเชยที่ผู้เสียหายทั้งหลายจะได้รับมันน้อยนักหลายร้อยพันเท่ากับการสูญเสียที่เกิดขึ้น คนที่ตายนั้นความเสียหายประมาณมิได้ แต่คนเจ็บเสียเวลา เสียโอกาส ในการทำมาหากินตามปกติไป ๕ ปี เงินสี่แสนเป็นค่าโสหุ้ยก้เกลี้ยงแล้ว

แน่ละหากพูดอย่างเห็นใจผู้กระทำผิด สำหรับผู้เสียหายน่ะ ‘กำขี้ดีกว่ากำตด’

แต่มาตรฐานนี้เอาไปใช้กับวิธีการทางปกครองบ้างได้ไหมล่ะ ลากคดีไปสักห้าปี แล้วตัดสินให้ชดใช้สักสี่ซ้า ๕ ล้าน แทนที่จะเป็น ๕ แสนล้าน