วันศุกร์, มิถุนายน 06, 2557

Dilemma สฤษดิ์ครึ่งใบ


 โดย ใบตองแห้ง
ที่มา ข่าวสดออนไลน์

โอ้โห บังอาจเปรียบเทียบ คสช.กับสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ไม่กลัวถูกเรียกรายงานตัวหรือ

แหม คนไทยจำนวนมากยังนิยมชมชอบยุคสมัย "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว" อยู่นะครับ

แล้ว ที่เปรียบเทียบนี่ไม่ใช่จะประณาม แค่อยากชี้ให้เห็นว่าท่านมีอำนาจล้นฟ้าอย่างสฤษดิ์ แต่กลับพยายามใช้อำนาจเพียงกึ่งหนึ่ง พยายามประนีประนอม ใช้ถุงมือกำมะหยี่ ไม่ได้ใช้ความรุนแรงเหมือนอดีต

ทางเศรษฐกิจยังพยายามทำให้ "รัฐประหารกินได้" เหมือน สฤษดิ์มีคำสั่งคณะปฏิวัติ ให้ทหารเรือจับปลาทูขายถูก นี่ท่านก็รีบจ่ายเงินจำนำข้าว ออกมาตรการประกันภัย กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วย SME สฤษดิ์เริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ท่านก็ฟื้นโครงการโครงสร้างคมนาคมขนส่ง คงความฝัน "รถไฟความเร็วสูง"

ซึ่ง เป็นเรื่องดีนะครับ แม้พวกเสื้อแดงกระแหนะกระแหน "ทักษิณคิด คสช.ทำ" แต่อะไรเป็นประโยชน์ก็ต้องทำ ช่วยสร้างความสามัคคีอีกต่างหาก อ้าว ก็พวกที่เคยต่อต้าน "อีปู" กู้ 2 ล้านล้าน ว่าทำถนนลูกรังก่อนดีไหม ตอนนี้หันมาเชียร์ คสช.กันสลอน

2 สัปดาห์ผ่านไป ไม่ทราบว่าผมเป็นโรคสตอล์กโฮมหรือเปล่า ฮิฮิ แต่รู้สึกดีกับ คสช.ขึ้นเยอะ จากตอนแรกที่ท่านประกาศขึงขังเรียกคนรายงานตัว รายชื่อเป็นหางว่าว ถ้าเป็นยุคสฤษดิ์ก็เอาไปขังลืม แต่นี่ท่านเอาไปพักผ่อนนอนค่าย หลายคนเล่าว่าอาหารดี อากาศดี ได้เดิน วิ่ง ออกกำลังกาย ฟังแล้วเคลิ้ม เผลอแพ็กกระเป๋าเตรียมรองเท้าผ้าใบ (ฮา)

แต่เอ๊ะทำไมมันย้อน แย้ง ไปก็ดูแลดี แต่ถ้าไม่ไปมีโทษ จำคุก 2 ปี ปรับ 4 หมื่นบาท ขึ้นศาลทหารอีกต่างหาก ครั้นพอ สมบัติ บุญงามอนงค์ โดนตามจับ โอดครวญไม่มีตังค์เลี้ยงลูก ท่านก็จะให้ทุนการศึกษา คนอะไรใจดีจัง รัฐประหารในชิลีเมื่อ 50 ปีที่แล้วไม่ได้ทำอย่างนี้นะครับ ปิโนเชต์จับพ่อแม่ฆ่าทิ้ง แล้วส่งลูกให้ทหารเลี้ยง

เห็นไหม รัฐประหารไทยใจพระ ฝรั่งไม่เข้าจาย

รัฐ ประหาร 2557 มีข้อแตกต่างจาก 2549 ชัดเจน 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ คสช.ไม่ได้กล่าวโทษรัฐบาลที่แล้ว แต่บอกว่าท่าน "เป็นกลาง" ทำเพื่อรักษาความสงบ คสช.ไม่ได้ "จองล้าง" ตระกูลชินวัตร นักการเมืองเพื่อไทย แม้กระทั่งแกนนำ นปช. ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องดี ลดแรงเสียดทานได้ระดับหนึ่ง

แต่อีกด้านหนึ่ง คสช.เข้มงวดกว่า "บิ๊กบัง" ที่ไม่ให้ต่อต้าน ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ ห้ามแสดงความคิดเห็น เรียกนักคิด นักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ไป "ทำข้อตกลง" ให้งดเว้นการแสดงออกช่วงนี้ก่อน

ขณะที่เมื่อมีผู้นัดแสดงออก เชิงสัญลักษณ์ ท่านก็ยกทัพปิดเมือง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้ารุนแรง จับไม่กี่คน จับแล้วปล่อย จับแล้วให้ประกัน มีเพียงบางคนโดนหนักเพราะ ม.112

ภาพรวมวันนี้ คสช.คุมสถานการณ์ไว้ได้หมดแล้ว ต่อให้มี "แฟลชม็อบ" วันเสาร์อาทิตย์ ชู 3 นิ้ว อ่านหนังสือ ฯลฯ ก็ไม่สามารถล้ม คสช.ได้

เพียง แค่คำถามก็คือท่านจะใช้อำนาจเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด และใช้เพื่ออะไร เพราะท่านเองก็รู้ ว่าจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ อยู่ได้ชั่วคราวเท่านั้น ยิ่งอยู่นาน ยิ่งเสียดทาน แต่ถ้าผ่อนคลาย ก็จะเพิ่มแรงต้าน

ประเด็นจึงอยู่ที่ท่านจะใช้ช่วงเวลานี้ "ปรองดอง" กับผู้ที่ต่อต้าน หรือผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างไร

บน ความเข้าใจต่อ คสช.แม้ไม่เห็นด้วย ขอย้ำว่าไม่เห็นด้วยก็เข้าใจกันได้นะครับ และท่านก็คงเข้าใจผู้ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เพราะผู้ไม่เห็นด้วยก็คิดเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนวันที่ 22 พ.ค.

คสช.คิดว่าการ ยึดอำนาจเป็นหนทางเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาความสงบ เมื่อทำแล้วท่านก็พยายามอย่างที่สุดที่จะ "เป็น กลาง" พยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรง แต่ก็ จำต้องใช้อำนาจปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งตรงนี้แหละที่ลักลั่น เป็น dilemma จนคนที่เชียร์ท่านก็ไม่พอใจ อยากให้เป็น "สฤษดิ์เต็มใบ"

กองทัพเข้าใจดีว่าความขัดแย้ง ที่บานปลายมา 8 ปี แบ่งคนแตกเป็น 2 ขั้ว ขั้วละเกือบครึ่งประเทศ ท่านจึงพยายาม "เป็นกลาง" แต่ความเป็นกลางไม่สามารถเป็นจริง เพราะเมื่อท่านยึดอำนาจ ท่านก็ต้องเผชิญกับผู้ที่เห็นว่าควรแก้ปัญหาผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้ต้องการ "ปฏิรูปก่อน เลือกตั้ง" จัดงานปาร์ตี้ชุดพรางครึกครื้น

ท่าน จะทำอย่างไรกับคนครึ่งแรก ซึ่งตอนนี้ท่าน "เอาอยู่" ชั่วคราว แต่ระยะต่อไป จะทำอย่างไรเพื่อ "ปรองดอง" โดยยอมรับว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับท่าน แต่ต้องอยู่ร่วมกัน ต้องเข้าใจกัน และต้องให้พวกเขามีบทบาทในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง

ตรงนี้ต่างหาก คือโจทย์ที่ คสช.ต้องรีบแก้ ระหว่างที่ใช้อำนาจนี้อยู่ชั่วคราว