วันจันทร์, มิถุนายน 30, 2557

น้ำผึ้งเฝื่อน หมดเดือนฮันนีมูน


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

“ลุงกำนัน” นอตหลุดปูด “ใบเสร็จ” ใส่อำนาจพิเศษ

ผ่านไปแล้วครึ่งทาง มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลกดำเนินมาถึงรอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย บรรยากาศแห่งความระทึกใจในเกมลูกหนังยังแผ่กระจายครอบคลุมไปทุกจุด

สะกดทุกกระแสหยุดอยู่กับเรื่องฟุตบอล

และอานิสงส์ก็ยังต่อเนื่อง ผลจากยุทธศาสตร์การคืนความสุขให้สังคม จัดให้ดูบอลฟรี ดูหนังฟรี ประกอบกับนโยบายการแก้ปัญหาแบบลงลึกในรายละเอียด คลุกกันถึงก้นซอย ประเภทจัดระเบียบวินรถตู้โดยสาร เคลียร์วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ล้างมาเฟียแท็กซี่สนามบินสุวรรณภูมิ

ลุยแก้กันแบบถึงลูกถึงคน เห็นผลชะงัดเฉพาะหน้า

นั่นก็ทำให้ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของโพลสำนักต่างๆออกมาให้คะแนนพึงพอใจผลงานภายใต้การยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

โดยเฉพาะเจาะจงกับตัวเลขของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในคำถามที่ว่า คสช.ควรเสนอชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี

ปรากฏ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำเดี่ยว คะแนนโด่งมาคนเดียวถึงร้อยละ 41 กว่าๆ

ทิ้งห่างอันดับสองอย่างนายอานันท์ ปันยารชุน แบบไม่เห็นฝุ่น 5-6 ช่วงตัว

“คสช.นิยม” ยังแรงติดลมบน

เบื้องต้นมันก็เป็นตัวชี้วัด สะท้อนว่า คสช.ภายใต้การกำกับของ พล.อ.ประยุทธ์นำทีมบริหารด้วยอำนาจพิเศษ อาศัยความเบ็ดเสร็จทำงานเข้าตาชาวบ้าน สอบผ่านผลงานในรอบ 1 เดือน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มมี “สัญญาณเตือน” สถานการณ์กำลังหมดช่วงเดือนแห่งการฮันนีมูน

ตามรูปการณ์ที่ คสช.จะต้องเผชิญกับงานที่ท้าทายขึ้นทุกขณะ

แบบที่กำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้กับปฏิกิริยานานาชาติ กระแส “โลกล้อมประเทศไทย” ที่มีการแสดงท่าทีชัดเจนเป็นรูปธรรม

ไม่ยอมรับสถานการณ์อำนาจในประเทศไทย

แรงสุดก็คือท่าทีของสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการรัฐประหาร พร้อมงัดมาตรการกดดันด้วยการยกเลิกเขตการค้าเสรี ล้มโปรแกรมการเดินทางเยือนระหว่างกันทั้งหมด

บีบให้กลับคืนสู่วิถีประชาธิปไตย จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว

สอดคล้องต่อเนื่องกับท่าทีของพี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกา ก็มีปฏิกิริยาผ่านสภาคองเกรสในการเสนอให้ระงับความร่วมมือและการช่วยเหลือด้านต่างๆกับทางการไทย

รวมทั้งการขู่ย้ายฐานการซ้อมรบ “คอบร้าโกลด์” ไปที่ประเทศออสเตรเลีย

ตามเงื่อนไขโยงกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงของสหรัฐฯฟันธงเลยว่า คสช.จะยึดอำนาจการปกครองนานกว่าคณะรัฐประหารชุดที่ผ่านมา

นั่นหมายถึงว่า การตอบโต้วิถีนอกประชาธิปไตยก็ต้องเข้มข้นตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม โดยแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า พวกชาติมหาอำนาจจะต้องเดินหมากการเมืองระหว่างประเทศในการประคองดุลอำนาจโลก

รักษาผลประโยชน์ของตัวเองไว้ก่อน

ตามรูปการณ์มันจึงอยู่ในวิสัยการต่อรองด้วยการเดินเกมทางการทูต แบบที่ คสช.หันไปอิงกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการถ่วงดุลอำนาจกับสหรัฐฯและชาติตะวันตก

โลกล้อมประเทศไทยไม่รอบซะทีเดียว

ขณะเดียวกัน ดูเหมือนแรงเสียดทานจากภายในประเทศมากกว่าที่จะสร้างแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงาน คสช.

เพราะลำพังขบวนการ “ชู 3 นิ้ว” ต่อต้านอำนาจท็อปบูตก็ยังมีอยู่ประปราย ผลุบๆโผล่ๆจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เลี้ยงกระแส รอจังหวะวางเพลิงจุดไฟ

คสช.เผลอละสายตาไม่ได้

แต่เล่นเอาซีเรียส กระตุกต่อมเครียดไปตามๆกัน กลับเป็นรายการของคนกันเอง

กับปรากฏการณ์ที่ “กำนันเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ ให้ได้รับรู้กันทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ

ด้วยการเปิดเผยเบื้องหลัง อ้างกันเลยว่า แผนกวาดล้างรัฐบาลตระกูล ชินวัตร ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์มาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว

และก็มีการติดต่อพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์และคณะปฏิบัติการตลอดเวลาผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์

แม้แต่ช่วงก่อนรัฐประหารยึดอำนาจ หัวหน้า คสช.ยังได้ต่อสายบอกว่า “คุณสุเทพกับ กปปส.เหนื่อยเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นหน้าที่ผมแล้วที่จะเข้าควบคุมรัฐบาล”

ที่สำคัญยังมีการแถมทิ้งท้าย แจกแจงบัญชีลับ กปปส.ได้ใช้เงินไปกว่า 1.4 พันล้านบาท ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อโค่นรัฐบาลตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ 400 ล้านบาทมาจากครอบครัวและพวกพ้องของแกนนำ ส่วนอีก 1 พันล้านบาทเป็นเงินบริจาคจากผู้สนับสนุน กปปส.

เฉลยกันแบบหมดไส้หมดพุง

แน่นอน มวยรุ่นใหญ่ระดับ “กำนันเทพ” เหลี่ยมคูไม่ธรรมดา ที่สำคัญการปล่อยข้อมูลลับๆร้อนๆ ในภาวะสถานการณ์ไม่ปกติย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องเป็นเรื่องใหญ่

และงานนี้ก็สังเกตได้ว่า เมื่อ “ปล่อยของ” เสร็จก็ไม่มีการตอบรับหรือปฏิเสธจากนายสุเทพ โดยเลขาธิการ กปปส.ได้กลับไปหลบอยู่ถ้ำจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ตามฟอร์มนี้ก็ชัดเจนว่า “ตั้งใจ” จุดประทัดป่วน

แม้ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช.จะรีบออกมาเบรกกระแส แถลงปฏิเสธทันควัน โดยยืนยัน พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยพูดคุย สื่อสารในลักษณะแบบส่วนตัวกับนายสุเทพ รวมทั้งการส่งข่าวใดๆ ทั้งสิ้น

แต่เรื่องของเรื่อง กระแสมันไหลไปไกลแล้ว

ที่สำคัญมันอ่อนไหวต่อความรู้สึกของสังคม โดยอารมณ์ของคนกลางๆก็เริ่มมีเครื่องหมายคำถาม ไม่ต้องพูดถึงอาการของคนขั้วตรงข้ามที่ตบโต๊ะดังฉาดใหญ่

สรุปได้เลยกับ “ทฤษฎีสมคบคิด” การร่วมมือกันโค่นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ม็อบ กปปส.เคลื่อนไหวป่วนเปิดทางให้ทหารปฏิวัติ

และแน่นอน ปฏิบัติการ “ปล่อยของ” โดยนายสุเทพ มันส่งผลเต็มๆในบรรยากาศที่ คสช.กำลังเดินยุทธศาสตร์สลายสีเสื้อ ปรองดองโดยไม่เลือกปฏิบัติ นำสังคมไทยกลับสู่ความปกติ

สถานการณ์กำลังไปด้วยดีอยู่แท้ๆ

“กำนันเทพ” ทำแสบเลยก็แล้วกัน

ในชั้นแรกเลย มันก็คือการ “เคลมชัยชนะ” เอาใจกองเชียร์ม็อบกำนันให้ครึ้มอกครึ้มใจกับผลสำเร็จของมวลมหาประชาชน กปปส.ในการโค่นรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ล้างระบอบทักษิณ

“สุเทพ” อาศัยลูกตามน้ำ เลี้ยงกระแสกองเชียร์

แต่หากมองให้ลึกไปอีกชั้น นี่คือมุกส่ง “ใบเสร็จ” ขอเบิกค่าแรง

เพราะตามจังหวะการขยับของนายสุเทพปูดข้อมูลลับๆร้อนๆ เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่อง โยงกับกระแสลือกันหนาหูในหมู่คนวงในฝ่ายถืออำนาจ พูดกันเป็นทำนองว่า

“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก”

ภายหลังยึดอำนาจการปกครอง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ยอมเปิดให้ทีมงาน “ลุงกำนัน” ได้เข้าร่วมในการจัดสรรอำนาจการบริหารแต่อย่างใด

แม้จะดีลผ่านคนใกล้ชิด เจาะทางไหนก็ต่อไม่ติด

แต่ที่หงุดหงิดมากก็คือ ความเชื่อที่ว่าทำไมคนฝ่ายเดียวกันแท้ๆยังโดนมาตรการเข้มข้นจากทหาร ตั้งแต่วันยึดอำนาจก็ล็อกตัวนายสุเทพและทีมงาน กปปส.ไปอยู่ในค่ายทหาร กักบริเวณรวมกับคนของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง

เหนื่อยตัวเปลืองแรง เปลืองต้นทุนหน้าตัก

ควักเนื้อลงทุนเต็มที่ แต่ยังไม่มีสิ่งตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอัน

มันก็เป็นไปได้ ถ้าจะมีการปล่อยใบเสร็จมาทวงกันดังๆ ตั้งใจป่าว ประกาศให้รู้กันทั่วโลกเลยว่า การพลิกเกมอำนาจในประเทศไทยมีที่มาที่ไปอย่างไร ลำพังทหารทำไม่ได้เนียนขนาดนี้

ดังนั้นใครควรจะมีส่วนร่วม “แชร์อำนาจ” บ้าง

อย่างน้อยก็ต้องได้ถอนทุนคืนทั้งหมดทั้งปวง โดยปรากฏการณ์สะท้อน “มลภาวะอำนาจ” ของ คสช.

“ฟอร์มเดิม” เหตุจากการจัดสรรผล ประโยชน์ไม่ลงตัว

ทั้งๆที่ว่ากันตามเงื่อนไข ก็เข้าใจได้ในความจำเป็นของหัวหน้า คสช.ที่ต้องพยายามประคองน้ำหนัก รักษาภาพความเป็นคนกลางในการหย่าศึก

ไม่ให้ถูกจับไต๋ได้ว่าเลือกข้างอยู่ฝั่งหนึ่งฝั่งใด

เพราะนั่นหมายถึงยุทธศาสตร์ในการสร้างความปรองดองจะล้มเหลวตั้งแต่ต้น

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์มีตัวอย่างมาแล้วจากกรณีของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่เดินเกมเสี่ยงในหมากอำนาจแบบหลวมๆ

รีบแชร์อำนาจเร็วเกินไป

การยึดอำนาจเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลายเป็น “ปฏิวัติปราสาททราย” โดนด่าทำเสียของ สุดท้ายตัวเอง

ก็ต้องดิ้นรนตั้งพรรคการเมืองเพื่ออาศัยเอกสิทธิ์ ส.ส.เป็นเกราะกำบังกาย

กลายเป็นแพะของสถานการณ์ โทษฐานทำให้วิกฤติบ้านเมืองยิ่งเลวร้าย

สถานการณ์บังคับ “บิ๊กตู่” ต้องไม่พลาดซ้ำรอย

และอันที่จริง ว่ากันตามเนื้อผ้า ถึงนาทีนี้หัวหน้า คสช.ก็ยังไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด ตามเป้าหมายในการนำประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติสุข

ดังนั้น มันจึงมีเครื่องหมายคำถามย้อนกลับไปถึงพวกที่ปล่อยของ “เขย่า” อำนาจพิเศษ

ปล่อย “ใบเสร็จ” ทวงค่าแรงกันแต่หัววัน

ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปดูข่าวเก่าๆเมื่อ 5–6 เดือนที่แล้ว ใครที่ปากก็ป่าวประกาศต่อหน้ามวลมหาประชาชน จะยอมเสียสละทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน

สู้ตายเพื่ออนาคตของลูกหลาน เพื่อเป็นเกียรติประวัติ ของชีวิต

หรือแค่พูดให้ดูหล่อ ดูสวย หลอกใช้กองเชียร์กันแค่นั้น

ถึงเวลาก็รอรับรางวัลกันหน้าสลอน.

“ทีมการเมือง”