วันศุกร์, มิถุนายน 27, 2557

ฝันกลางวัน หรือ พารากอน เตรียมเจ๊ง...จริงหรือ โดน อียู-สหรัฐแบน ไทยยังชิลด์ๆ แล้วหันมา นิยมไทยในโลกาภิวัตน์?!?


จริงหรือ โดน อียู-สหรัฐแบน ไทยยังชิลด์ๆ

โดย กานต์ ชูเศรษฐการ
ที่มา ประชาไท

ได้อ่านที่บางคนพูดว่า EU จะแบนไทยก็ปล่อยมันไปไม่กระทบอะไรเรา เราซื้อใช้กันเองในประเทศได้ และก็ค้าขายกับจีนแทน แล้วตลกจัง

จริงๆความคิดชาตินิยมโดยไม่ได้อยู่บนฐานความเป็นจริงนี้ก็เคยอ่านมาตั้งแต่เด็กแล้ว และก็ไม่ได้คิดจะไปเถียงอะไร เสียเวลา แต่วันนี้ไปเจอความเห็นที่ยกข้อมูลเป็นคุ้งเป็นแควมาสนับสนุนว่าไทยอยู่ได้สบายแต่เลือกเสนอข้อมูลไม่ครบทุกด้าน เลยขอเขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้สักหน่อย

ใครเป็นโรคหัวใจอย่าอ่านนะ เพราะข้อมูลผลกระทบจากการโดน EU แบนมันสะเทือนขวัญมาก

1) เศรษฐกิจไทยเกิน 2 ใน 3 มาจากการส่งออกไปต่างประเทศ พูดอีกแง่คือ หากเราปิดประเทศเลิกยุ่งกับต่างประเทศเลย ความมั่งคั่ง ความเป็นอยู่ เงินที่เราจะซื้อสินค้าต่างๆ จะหายไปเกินครึ่ง ลองจินตนาการดูว่าจะพอเพียงดีงามขนาดไหน

2) พี่มังกรจีนที่เราอยากจะไปเกาะหาง เขาเพื่อให้ เขาช่วยพยุงเรื่องส่งออก ไทยก็มีมูลค่าส่งออกไปจีนเยอะเป็นอันดับหนึ่งจริง ตัวเลขประมาณ 8.5 แสนล้าน ประมาณ 12% ของยอดส่งออกรวม

แต่ แต่ แต่ ยอดการนำเข้าจากจีนมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านนะครัช สรุปไทยขาดดุลการค้ากับจีนประมาณ 3.5 แสนล้านบาท พูดง่ายๆคือจีนไม่เคยคิดจะช่วยซื้อของจากไทย จีนเป็นพ่อค้า เขาขายของให้เราเป็นหลัก

และที่แย่กว่านั้นมูลค่าที่ไทยส่งออกไปจีนจำนวนมากเป็นสินค้าระหว่างทำ เช่นพวกชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์ และชิ้นส่วนพลาสติก ซึ่งจีนซื้อไปเพื่อไปประกอบเป็นสินค้าแล้วส่งออกอีกที (ซึ่งแน่นอนสินค้าที่สำเร็จแล้วจำนวนมากไหลกลับมาขายไทย) พูดได้ว่าจีนมองเราเหมือนเป็นหน่วยการผลิตหนึ่งของเขาเป็นโรงงานนอกแผ่นดินใหญ่ของ เขา เขาไม่ได้คิดว่า เขาเป็นลูกค้าที่จะซื้อสินค้าจากเราไปใช้ ทางกลับกันไทยต่างหากที่เป็นลูกค้าของจีนที่หลายๆอย่างต้องซื้อจากจีนโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

3) มาดูเรื่อง EU กันบ้าง ไทยส่งออกไป EU ประมาณ 7.3 แสนล้านบาท ประมาณ 10% ของส่งออกทั้งหมด (ซึ่งอันนี้ก็เป็นจุดที่หลายคนอ้างว่าแค่ 10% หายไปเราก็ไม่กลัว อยากจะถามว่าสติดีรึเปล่า 7แสนล้านบาทต่อปีเนี่ยนะน้อย)

แล้วอย่ามองแค่ตัวเลข ต้องดูด้วยว่าเราส่งอะไรไป พวกสินค้าจาก SME, OTOP งาน crafts ต่างๆ ส่งออกไปยุโรปเยอะมาก ถ้า EU embargo ไทย ผลกระทบจะไม่ใช่แค่กับธุรกิจใหญ่แต่มันแผ่พังถึงรากของเศรษฐกิจ

มาดูยอดที่ EU ส่งออกมาไทยบ้าง มูลค่าประมาณ 7.1แสนล้านบาท ก็ใกล้เคียงกับที่ EU ซื้อจากไทย

แต่ แต่ แต่ มูลค่าที่ EU ส่งออกมาไทยมันไม่ถึง 1% ของมูลค่าส่งออกของ EU ทั้งหมด (อ่าวไหนว่าไทยจำเป็นคอขาดบาดตายกับ EU ทำไมซื้อของจาก เขายังไม่ถึง 1% เลยล่ะ)

มันน่าตกใจไหมล่ะ เราส่งออกไปหา เขาเป็น 10% ของมูลค่าส่งออกเราทั้งหมด แต่ เขาส่งออกหาเราไม่ถึง 1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของ เขา

ก็จริงที่ว่าถ้าเลิกค้าขายกันก็เสียประโยชน์ก็เจ็บทั้งคู่ แต่ EU ก็คงเจ็บเหมือนโดนมดกัด ส่วนไทยก็คงเจ็บเหมือนโดนช้างกระทืบ

4) พูดถึงอเมริกาด้วยเลยละกัน อเมริกาเป็นลูกค้าที่สำคัญมากของไทย ซื้อของจากไทย 7.3 แสนล้านบาท และขายของให้ไทย 4.7 แสนล้านบาท จะเห็นได้ว่าถึงอเมริกาจะซื้อของจากเราเป็นมูลค่าน้อยกว่าจีน แต่อเมริกาซื้อมากกว่าขายอยู่ 2.6 แสนล้านบาท ต่างจากจีนที่ขายมากกว่าซื้อ

ถ้าอเมริกาเลิกซื้อของจากไทยนี่บอกเลยว่าสาหัสเหมือนโดนช้างกระทืบอีกรอบ และมันก็ไม่ได้เดือนร้อนอเมริกา เขาเท่าไรเพราะมูลค่าที่ เขาส่งออกมาหาเรามันก็ไม่ถึง 1% ของมูลค่าส่งออกรวมของอเมริกา

ส่วนคำถามว่าทำไม EU กับ อเมริกาถึงสนใจความไม่เป็นประชาธิปไตยในไทยนัก มันสำคัญอะไรนัก ไว้เขียนหนหน้านะมันอีกยาววววว

Source: Thai Custom Department
ooo

เรื่องเกี่ยวเนื่อง...

กานดา นาคน้อย: นิยมไทยในโลกาภิวัตน์

โดย กานดา นาคน้อย
25 มิถุนายน 2557
ที่มา ประชาไท

เร็วๆ นี้รัฐบาลสหรัฐฯประกาศว่าอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรด้วยประเด็นแรงงานทาสและค้ามนุษย์ ตามด้วยสหภาพยุโรป(หรือที่เรียกกันว่าอียู)ประกาศตัดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ คนไทยหัวใจชาตินิยมบางกลุ่มเริ่มเรียกร้องให้คนไทยเลิกใช้สินค้าอเมริกันและอียู ทำให้เกิดคำถามว่าในยุคโลกาภิวัฒน์นี้คนไทยจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าอยากเลิกใช้สินค้าและบริการของอเมริกันและอียู?

รับอรุณแบบไทยๆ
ยามเช้าตอนสีฟันก็เลิกใช้ยาสีฟันคอลเกตต์แล้วหันมาใช้ยาสีฟันดอกบัวคู่ ตอนอาบน้ำก็เลิกใช้สบู่ปาล์มโอลีฟสบู่โดฟเปลี่ยนมาใช้สบู่สมุนไพรแทน ชายไทยต้องเลิกใช้มีดโกนยิลเลตต์เลิกใส่กางเกงในจ็อกกี้หรือกีลาโรชหันมาใช้มีดโกนไทยและกางเกงในไทยแทน ส่วนหญิงไทยที่ใช้ชุดชั้นในวิคตอเรียซีเครตก็หันมาใช้วาโก้ได้ เพราะวาโก้มาจากญี่ปุ่นและรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้ประกาศตัดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในอนาคตรัฐบาลญี่ปุ่นตัดความร่วมมือเมื่อไรค่อยเลิกใช้วาโก้แล้วหันมาใช้ชุดชั้นในจินตนาแทน ส่วนเครื่องสำอางค์ก็ต้องเลิกใช้ชาแนล ดิออร์ เอสเต คลีนิค เอวอน แอมเวย์ ฯลฯ ต้องหันมาใช้เครื่องสำอางค์ไทยและพรมน้ำอบไทยหรือน้ำลอยดอกมะลิแทน

แม้สินค้ายี่ห้ออเมริกันหรืออียูหลายยี่ห้อผลิตในไทยด้วยหุ้นส่วนชาวไทยและแรงงานไทยราคาถูก เจ้าของลิขสิทธิ์ยี่ห้อสินค้าเหล่านี้คือบริษัทจดทะเบียนที่สหรัฐฯหรือที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ผู้บริหารใหญ่ก็ยังเป็นชาวต่างชาติ ผู้บริหารชาวไทยไม่มีอิทธิพลกำหนดยุทธศาสตร์ข้ามชาติ ที่สำคัญผู้ถือหุ้นชาวอเมริกันและอียูได้กำไรมหาศาลมากมายกว่าแรงงานไทย

เครื่องนุ่งห่มแบบไทยๆ
เปลี่ยนชุดชั้นในแล้วก็ต้องเปลี่ยนชุดชั้นนอกด้วย คนชาตินิยมต้องเลิกใส่เชิ้ตเลิกใส่เสื้อคอโปโลเลิกใส่สูทของฝรั่งมังค่า หันมาใส่เสื้อม่อฮ่อมหรือเลิกใส่เสื้อแบบชายไทยในวรรณคดี ส่วนหญิงก็ใส่ผ้าแถบหรือเสื้อคอกระเช้าแทนได้ ใช้ผ้าไหมไทยผ้าฝ้ายไทยแทนใยสังเคราะห์ เลิกใส่เสื้อยี่ห้อโปโล อาร์มานี กุชชี คริสเตียนดิออร์ ฯลฯ เลิกใช้กระเป๋าหลุยส์วิตตอง ปราด้า แอร์แมส โค้ช ไนน์เวส ฯลฯ เลิกใส่รองเท้าไนกี้ บาจา อะดิดาส บัลลี่ เฟอร์รากาโม อัลโด คล้าค ฯลฯ หันมาใช้เครื่องหนังไทยอย่างยี่ห้อเทวินทร์แทน

กินอยู่แบบไทยๆ
คนชาตินิยมต้องเลิกใช้ช้อมส้อมเพราะช้อนส้อมเป็นของฝรั่งขี้นกช้อนสั้นๆที่ใช้เป็นช้อนกลางยังใช้ต่อไปได้เพราะไม่ใช่ของฝรั่ง ใช้ตะเกียบแบบจีนกะญี่ปุ่นก็ได้ ส่วนเตาแก๊สเตาอบเตาไมโครเวฟต้องเลิกใช้ หันมาใช้เตาถ่านแทน ต้องเลิกกินโดนัท เค้กกล้วยหอม คุ้กกี้ พิซซา พาสต้า สปาเก็ตตี้ ป็อปคอร์น แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ หันมากินขนมลอดช่องปรากริมไข่เต่าขนมปุยฝ้ายแทน (เร็วๆนี้มีนักศึกษาไทยกินแซนด์วิชแล้วโดนจับ แย่จริงๆที่กินของฝรั่งน่าจะกินขนมชั้นขนมถ้วยตะไลแทนแซนด์วิช)

ตึกรามแบบไทยๆ
เวลาไปห้างสรรพสินค้าไปโรงพยาบาลไปโรงแรมจะขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นลิฟต์ก็ต้องเลือก ถ้าเห็นยี่ห้อโอทิสของอเมริกันกะทิซเซนครัพพ์ของเยอรมันก็อย่าขึ้น เชิดหน้าเดินขึ้นบันไดทีละชั้นเลย แต่ถ้าเป็นยี่ห้อชินเดลอร์ของสวิสกะยี่ห้อฮิตาชิของญี่ปุ่นก็ขึ้นได้ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดให้เมื่อย (ลิฟต์ฮิตาชิเดี๋ยวนี้ทำที่จีน ไม่รู้ว่าคุณภาพดีเท่าแต่ก่อนไหม) ญี่ปุ่นต่อต้านรบ.ไทยจริงจังเมื่อไรก็ยังเหลือยี่ห้อสวิส สวิสขายความเป็นกลางด้วยราคาสูง อุ่นใจได้เสมอว่ามีเงินก็ซื้อของสวิสได้ (แต่สวิสประเทศเล็กมากๆบางอย่างก็ไม่ทำขาย เช่น เครื่องบิน)

รักษาโรคแบบไทยๆ
ตัดงบสัมมนางบดูงานของแพทย์ไทยที่อียูกะสหรัฐฯให้หมด ส่งไปดูงานไปสัมมนาไปฝึกความเชี่ยวชาญที่จีนกับแพทย์จีนแทนแพทย์ฝรั่ง ใช้ยาจีนแทนยาฝรั่ง เลิกใช้เครื่องมือแพทย์อเมริกันเครื่องมือแพทย์อียู ปวดฟันก็ใช้เชือกป่านถอนฟันเลย ป่วยไข้ก็ไม่กินยาฝรั่งกินยาหม้อยาสมุนไพรแทน ใช้ยาไทยให้ร่ำลือไกลไปสามโลกเลิกใช้ถุงยางดูเร็กซ์แล้วหันมาใช้ถุงยางสาธารณสุขแทน

การศึกษาแบบไทยๆ
มหาวิทยาลัยไทยต้องเลิกให้นักศึกษาใส่ชุดครุยรับปริญญาเพราะชุดครุยและการรับปริญญาเป็นของฝรั่งขี้นก ชุดเครื่องแบบทหารไทยตำรวจไทยก็ก็อปมาจากฝรั่งขี้นกเช่นกัน เลิกใส่ชุดฝรั่งแล้วหันมาใส่โจงกระเบนกันแบบแต่ก่อนไหม?เลิกส่งลูกส่งนักเรียนทุนเรียนฮาร์วาร์ด เอ็มไอที สแตนฟอร์ด วอร์ตัน เคลล็อค เบิร์กเลย์ ฯลฯ เลิกส่งไปเคมบริดจ์ อ็อกฟอร์ด แอลเอสอี ซอร์บอร์น ฯลฯ ส่งลูกเรียนจุฬาฯธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ ฯลฯ แทน ไกลหน่อยก็ไปม.ปักกิ่งกะม.เซี่ยงไฮ้ ส่วนม.โตเกียวกะม.เกียวโตนี่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตรัฐบาลญี่ปุ่นก็อาจจะตัดความร่วมมือ นิวซีแลนด์กะออสเตรเลียไม่ใช่สมาชิกอียูแต่ก็ประกาศต่อต้านไทยแล้วจะเลิกส่งลูกไปเรียนนิวซีแลนด์และออสเตรเลียไหม? ส่วนโรงเรียนอินเตอร์ในไทยก็เป็นเครือข่ายของโรงเรียนอเมริกันและอียูกันมากมาย จะประท้วงเอาลูกออกจากโรงเรียนอินเตอร์กันไหม?

เดินทางแบบไทยๆ
ถ้าจะหันไปใช้สินค้าเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นแทนอเมริกันและอียู ก็อย่าเผลอขึ้นเครื่องบินโบว์อิ้งและแอร์บัสไปเที่ยวเกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นเพราะเป็นเครื่องบินอเมริกันและฝรั่งเศสจะเที่ยวไทยเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวเวียดนามก็ต้องเลือกยี่ห้อเครื่องบิน มีเครื่องบินเอ็มแบร์จากบราซิล ยี่ห้อนี้มีโรงงานทำชิ้นส่วนเครื่องบินในจีน (แต่ชั้นเฟิร์สคลาสชั้นธุรกิจไม่หรูหราสนองอีโก้อีลีตได้ถึงใจเท่าโบว์อิ้งกะแอร์บัส) จะซื้อรถไฟฟ้าก็อย่าเผลอไปซื้อของเยอรมันของฝรั่งเศส ซื้อของจีนของญี่ปุ่นของเกาหลีใต้ไปพลางๆ รถยนต์ก็ต้องเลิกขับบีเอ็มเลิกขับเบนซ์ เบนท์เลย์และเฟอร์รารี่ก็ต้องเลิกเช่นกัน หันไปใช้รถญี่ปุ่นรถเกาหลีใต้รถจีนแทน

ความบันเทิงแบบไทยๆ
เลิกดูเลิกเล่นกีฬาฝรั่งขี้นกอย่างฟุตบอล เทนนิส กอล์ฟ ฯลฯเล่นชกมวยแทน หยุดดูบอลโลกหันไปดูมวยไทยแทน ส่วนหญิงไทยก็เล่นหมากเก็บบ้างร้อยมาลัยบ้างทำน้ำอบไทยบ้าง เลิกดูทีวีและปิดไฟด้วยทีวีกะไฟฟ้าเป็นของฝรั่งขี้นก จุดเทียนกันแล้วนอนแต่หัวค่ำ ถ้าอยากบันเทิงรื่นเริงก็ไปดูลิเกงานวัดกะหนังตะลุง เพราะมิวสิคัลหรือละครเวทีกะภาพยนตร์เป็นของฝรั่ง ชนชาติไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นฝรั่งขี้นก คนไทยชาตินิยมก็ต้องกินอยู่ด้วยวิถีไทย คอนเสิร์ตใช้กีตาร์ใช้เปียในใช้กลองฝรั่งก็ต้องเลิกไปดูไปฟังโอเปราของฝรั่งก็เสียงดังโหวกเหวกคล้ายงิ้วเจ๊กตื่นไฟไม่มีรากเหง้าแบบวัฒนธรรมไทย!!!

ความจริงแบบไทยๆ
วันนี้หยุดดื่มโค้กหยุดดื่มเป๊ปซี่ดื่มไวน์ฝรั่งเศสกันหรือยัง? ปิดบัญชีเฟซบุ๊คกะทวิตเตอร์กันหรือยัง? ใช้ไฮไฟว์แทนเฟซบุ๊คและรณรงค์ให้ไฮไฟว์เปลี่ยนชื่อเป็นเบญจางคสวัสดิ์กันหรือยัง? ไม่ว่าคุณจะตอบคำถามพวกนี้อย่างไรคุณก็หนีความจริงดังต่อไปนี้ไม่พ้น

ก) จีดีพีอียูและสหรัฐฯรวมกันเกิน 50% ของโลกถ้าไม่ปรับด้วยกำลังซื้อ
ข) ถึงปรับด้วยกำลังซื้อแล้ว จีดีพีอียูรวมสหรัฐฯคิดเป็น 35% ของโลก
ค) คิดแบบไหนไทยก็ไม่ถึง 1% ของจีดีพีโลก น้อยกว่าไต้หวันเสียอีก
ง) คิดแบบไหนจีนก็ไม่เกินครึ่งของอียูกะสหรัฐฯรวมกัน
จ) ไทยนำเข้าอาวุธ ยา เครื่องมือแพทย์ เครื่องบิน จากอียูกะสหรัฐฯ
ฉ) อียูกะสหรัฐฯไม่นำเข้าอาวุธ น้ำมัน ยา หรือเครื่องมือแพทย์จากไทย
ช) อียูกะสหรัฐฯนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นแทนไทยได้ เช่น อาหารแช่แข็งจากเวียดนามและอินเดีย สินค้าอิเล็คโทรนิคส์จากมาเลเซีย ญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน
ซ) ประเทศอุษาคเนย์ที่ส่งออกน้ำมันคืออินโดนีเซีย ไม่ใช่ไทย

ถ้ายังฝันกลางวันว่าไทยเป็นศูนย์กลางอุษาคเนย์ฝรั่งต้องเกรงใจ ก็โปรดตื่นมาดื่มโค้กดื่มแฟนต้าดื่มไวน์ดื่มกาแฟคาปูชิโนให้ตาสว่าง