กงสุลใหญ่ประจำแอล.เอ.
สนองบัญชาคณะรัฐประหาร แจ้งสื่อมวลชนไทยในท้องที่ว่ามีภารกิจมอบหมายมาจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหลายอย่าง
รวมทั้งเรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการสอดส่อง ‘กดดัน’ ต่อการละเมิดประมวลกฏหมายอาญามาตรา
๑๑๒ ของประเทศไทย
(อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทต่อพระมหากษัตริย์
พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า ๓ ปี และอย่างสูง ๑๕ ปี
ทั้งนี้ในทางปฏิบัติผู้ต้องหามักจะถูกปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีเสมอ)
ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ สยามทาวน์ยูเอส ฉบับประจำวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ รายงานการแจ้งข่าว
และให้สัมภาษณ์ของนายเจษฎา กตเวทิน กงสุลใหญ่ไทย ณ นครลอส แองเจลีส ว่า “ได้เล่าถึง ‘ไฮไลต์’
ของการประชุมร่วมกับหัวหน้า คสช. ถึงประเด็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับรัฐบาลต่างชาติ
รวมถึงชุมชนไทยในต่างประเทศว่ามีหลายประการ”
“นี่ผมเล่าให้ฟังนะ
เวลากระทรวงต่างประเทศไปพบกับใคร ก็พูดถึงว่ามันจบไปแล้ว เรื่องการยึดอำนาจมันผ่านไปแล้ว
ใครก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาอธิบายอีกต่อไป”
“โพลล์ออกมา คนไทยเห็นว่าการเข้ามาของทหาร
เขายอมรับกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เหล่านี้คือสิ่งที่เราสามารถพูดกับต่างประเทศ
พูดกับเพื่อนเราเองก็ได้ คนไทยเองนี่แหละ ว่าเออ
อย่างน้อยก็ดีกว่าสภาพอึมครึมที่ไม่รู้ว่าจะประท้วงกันไปอีกกี่วัน กี่ชาติ”
นายเจษฎากล่าวถึงข่าวเรื่องการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นว่า “ถ้ามีจริง ข่าวอย่างนี้จะออกได้เหรอ ว่าจริงๆ
แล้วสื่อเมืองไทยก็รู้กัน มันไม่รู้จะเสรีขนาดไหนแล้ว
แต่ก็เป็นสิ่งยืนยันอีกอันว่า democratic values ในเมืองไทยมันฝังรากลึกมากแล้ว
สื่อนี่ คุณจะไปจำกัดเขาทำไม่ได้แล้ว ถ้าทำ
เพราะค่านิยมความเป็นประชาธิปไตยของคนไทยมันไปถึงไหนๆ แล้ว ถึงแม้รูปแบบจะยังดูล้าหลังอยู่ก็ตาม”
กงสุลใหญ่ไทยพูดถึงมิติการบริหารจัดการด้านการลงทุน
(เมกกะโปรเจ็ค) ของคณะรัฐประหารไว้ด้วยท่วงทำนองชื่นชอบว่า “ในทางตรงกันข้ามอาจจะดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ทำไม พล.อ.ประยุทธถึงต้องเร่งตั้งบอร์ด
บีโอไอขึ้นมา เจ็ดแสนล้านที่รอการส่งเสริมการลงทุน มันรออยู่”
“อย่างไรก็ดี นายเจษฎา กตเวทิน
กล่าวว่าสิ่งที่ตนพูดมาทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายมา แต่เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือภารกิจในการปกป้องพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”
ต่อประเด็นเรื่องความเกี่ยวโยงระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับการรัฐประหาร
กงสุลใหญ่แอล.เอ. ชี้แจงว่า “ทำไมทรงลงพระปรมาภิไธย
คำตอบคือว่า มันคือธรรมเนียมการปฏิบัติโดยปกติของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข
คือท่านอยู่เหนือการเมือง เป็นขั้นตอนขึ้นมาถูกต้องท่านก็ต้องลงพระปรมาภิไธย”
ส่วนภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากหัวหน้า คสช. นั้น “คือการสอดส่อง ติดตามตรวจสอบผู้กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หากพบการทำผิดในลักษณะนี้ให้รายงาน คสช. ทันที”
“เป็นภารกิจที่จะต้องอาศัยความร่วมมือของชุมชนไทยทั้งหมด
คือเราจะต้องช่วยกันสอดส่อง อะไรซึ่งมันมีลักษณะเป็นการจาบจ้วงสถาบันฯ”
ทั้งนี้นายเจษฎาให้อัตถาธิบายเพิ่มเติมว่า
“แรงกดดันทางสังคมก็มีส่วนช่วยได้ เราก็ไม่ต้องไปคบค้ากับมัน..แม้ ว่าทางกฎหมายเราทำอะไรไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็ให้รู้กันไว้ว่ามันไปทำอะไรกันตรงไหน อย่างไร หากเราสามารถสร้างแรงกดดันทางสังคมร่วมกันได้”