วันอังคาร, พฤศจิกายน 17, 2563

ขำกลิ้ง “ตำรวจรอ ๔ กองร้อย...ม็อบมาสองคน”


โคตร ‘hilarious’ ขำกลิ้ง “ตำรวจรอ ๔ กองร้อย...ม็อบมาสองคน” นึกไม่ถึง Wassana Nanuam อารมณ์ขันลึกอะ “ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนล้อมหน้าทำเนียบฯ ๒ กองร้อย กำลังเสริมอีก ๒ กองร้อย รอรับ พรรควิฬาร์นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่”

สองนายที่มา ฮ่องเต้กับบอลถึงผงะ อุทานภาษาฝาหรั่ง “โอ้ มาย ก๊อด” แค่เอาป้ายประท้วง “ต้องใช้เวลานานเท่าใด” ถึงจะทำให้ ประยุทธ์ จันทร์ (อะไรนะ) เข้าใจถึงความไม่พอใจของประชากร ต่อการบริหารประเทศไม่เอาไหนของเขา

จากนั้น ธนาธร วิทยเบญจางค์และชนินทร์ วงษ์ศรี ฉีกห่ออาหารหมาและแมว เทลงบนฟุตปาต พร้อมกล่าวว่า “อาหารสุนัขที่นำมา เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนอาหารแมวเอามาให้ เจ้านาย พล.อ.ประยุทธ์” แล้วทิ้งท้ายว่า เจอกันเชียงใหม่ ชุมนุมใหญ่ ๒๓ พ.ย.

ส่วนที่หน้าตึกรัฐสภา มีการเอาลวดหนามและเหล็กเส้นขึงกั้นรายรอบแน่นหนาชนิดปักแท่งเหล็กยึดไว้กับพื้นซีเม็นต์ แบบว่า ส.ส.หญิงพรรคฝ่ายค้านยังว่า ตนเองจะเข้าไปประชุมยังลำบาก ไม่รู้ว่าตำรวจกลัวไพรี (ไม่รัก) รัฐบาลยกแสนยานุภาพมาถล่มหรือไร

เรื่องของเรื่องก็เยาวชนอย่างฮ่องเต้กับบอลนั่นละ นัดหมายกันไว้ว่าจะขอมาลุ้นการอภิปรายร่างกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๗ ฉบับว่าจะรับหลักการเอาไปพิจารณาให้ครบหรือไม่ เนื่องจากเสียงขรมพวก สูงวัยที่ตู่ตั้ง จะตัดทิ้ง ๔-๕ ฉบับ อ้างว่ามากไป เยิ่นเย้อ

แท้จริงต้องการเขี่ยทิ้งร่างฯ ที่ฝ่ายค้านและประชาราษฎร์ยื่น ได้แก่ ร่าง ไอลอว์ ที่มีประชาชน ๙ หมื่น ๘ พันกว่าลงนามสนับสนุน ซึ่งขอแก้ไขครบวงจร กับ ๔ ร่างที่พรรคเพื่อไทยเสนอเพิ่มเติม ทั้งการตัดอำนาจ สว. ยกเลิกผลพวงรัฐประหาร และแก้ไขบัตรเลือกตั้ง


สำหรับท่าทีรัฐสภา ทั้ง ส.ส.และ สว.ที่มีต่อร่างฯ เหล่านั้น ขออนุญาตเอาการวิเคราะห์ของมติชนมาแปะไว้ก่อน ที่ว่าแนวโน้มการลงมติพรุ่งนี้ (๑๘ พ.ย.) คือร่างฯ ฉบับ ๑ และ ๒ ของฝ่ายค้านและรัฐบาล ผ่านวาระ ๑ แน่ ด้วยเสียง สว.ถึง ๑๐๐-๑๕๐ คน

เสียง สว.เหล่านี้จะไปช่วย ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลคัดค้านหรือทำเมิน (งดออกเสียง) เพื่อตีตกร่างฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๐, ๒๗๑, ๒๗๒ และ ๒๗๙ ส่วนร่าง ไอลอว์ก็ไม่เอาเหมือนกัน เพราะเห็นพ้องว่า “ไม่ได้มีข้อยกเว้นเรื่องการห้ามแก้หมวด ๑ และ ๒”

ข้างที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คสช. และท่าทางของ สว.ก็มีม็อบมาหนุนเหมือนกัน ๕-๖ คน นำโดยหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม แห่งกลุ่ม ไทยภักดีคัดค้านทุกร่าง (๓ ฉบับ) “ที่มีการเสนอตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ” อ้างว่านั่นเป็นการ ล้มล้างสถาบันฯ

ใครที่งงเต็กว่าการตั้ง สสร.ล้มล้างสถาบันฯ ได้อย่างไร ไม่ต้องเก็บเอาไปคิดให้เปลืองพลังเซลสมอง เพราะที่ผ่านๆ มาแนวความคิดของคนเหล่านี้มักไม่ใช้ตรรกะเหตุผลกันเท่าไร ยึดเอาศรัทธาบอดและความคลั่งไคล้ใหลหลงเป็นสรณะ

พวกนี้น่ะ ขณะที่หลักเกณฑ์ที่ใช้แค่หางอึ่ง แต่การโหมตะโกนดังลั่นมโหฬาร วรงค์บอก “อาศัยสิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๙ เรื่องการดำเนินความผิดอาญาผู้ที่ต้องการล้มล้างการปกครองและกับบุคคลที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง ๓ ฉบับ”

จะไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อจัดส่งต่อคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณา ภายใน ๑๕ วัน และถ้า อสส.ยังอ้อยอิ่ง ก็จะยื่นต่อ ตลก.โดยตรงด้วยมือตนเอง เขาคิดเขาทำอะไรอย่างนี้ง่ายๆ คงนึกว่าพวกกันเองเสียอย่างละสิ


อย่างไรก็ดี ปฏิกิริยาจาก พระเอกฝ่ายรัฐบาลซึ่งหลังๆ นี่เงียบๆ หงอยๆ กลายไปเป็น พระรองขณะพระเจ้าอยู่ไม่เสด็จกลับเยอรมนีเสียที วานนี้อารมณ์ดีให้นักข่าวถามเย้าถามแยงได้ไม่มุ่ย บอกไม่ห่วงที่มีสองฝ่ายไปชุมนุมหน้าสภาวันนี้ แน่สิขึงลวดหนามซะขนาดนั้น

“หนูสวยไหมคะท่านนายกฯ” นักข่าวสาวคนหนึ่งแซวกลับหลังจากนายกฯ หยอกเล่นว่าแต่งหน้าทาปากซะไม่มี แม้แต่คำถามเกี่ยวกับคดีบ้านพักราชการที่อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังวางอุเบกขา “ตัดสินอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น”

บอกนักข่าวด้วยว่า “ไม่ต้องมาอ่านใจฉัน ไม่มีท้อแท้ แต่ยอมรับว่าผอมลง ไม่ได้ป่วย ยังแข็งแรงทั้งกายและใจ ยังไงก็ต้องทำจนกว่าจะไม่ได้ทำ” หูย ตอนลงท้ายนี่ตื้นตันเสียจนน้ำตาตกใน

(https://www.facebook.com/thestandardth/posts/26069641895964572CP-R, https://prachatai.com/journal/2020/11/90453, https://www.matichon.co.th/politics/news_2445362 และ https://www.facebook.com/100001454030105/posts/3591662344225531/?d=n)