วันเสาร์, มิถุนายน 13, 2563

ไม่มีใครเชื่อคำแบ๊งค์ชาติ "หนี้ของธนาคารกลางไม่สร้างภาระ" ที่ไหนได้ตอนนี้ ๗.๑ ล้านล้าน

หมู่นี้ธนาคารชาติไทยตามเช็ดไล่หลังตัวเองชักบ่อย เพราะประเทศก่อหนี้ไม่ยั้ง วานนี้พอราชกิจจาฯ ประกาศปั๊บ ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ก็ออกมาทำความสะอาดปึ๊บ ว่า “หนี้ของธนาคารกลาง ไม่สร้างภาระให้รัฐบาลชำระหนี้ เพราะมีสินทรัพย์หนุนหลัง”

ประกาศราชกิจจาฯ แจ้งฐานะการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ๓ รายการ แต่ละอันมีรายงาน หนี้สินอื่นติดอยู่ท่ามกลางตัวเลขจิปาถะ เช่น เงินสด เงินตราต่างประเทศ เงินสำรอง ฯลฯ ในส่วนของ ธปท.มีหนี้ ๖,๑๓๑,๗๔๓.๘๓ ล้านบาท

ในรายการทุนสำรองเงินตรา มีหนี้สินอื่น ๕,๙๖๖.๓๗ ล้านบาท และส่วนของกิจการธนบัตร หนี้สินอื่น ๔,๒๕๕.๙๘ ล้านบาท รวมแล้วหนี้สิน (อื่น) ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อ ๙ เมษายน ๖ ล้านล้านกว่า มากกว่าอาทิตย์ก่อนเพียงเล็กน้อย

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยสายสื่อสารฯ แถลงว่ารายงานดังกล่าว “ที่เกิดจากการทำหน้าที่ปกติของธนาคารกลาง” ฉะนั้น “หนี้สินในงบการเงินของ ธปทเช่นเดียวกับธนาคารกลางในประเทศต่างๆ ไม่ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ ไม่เป็นภาระต่อฐานะการคลังของประเทศ”

เธอยังบอกอีกว่าที่มีเสียงวิจารณ์สวนราชกิจจาฯ ว่าตายแล้ว ลูกหลานไทยทั้งที่เพิ่งเกิดและใกล้จะเกิดแบกภาระใช้หนี้อีกจมหู ส่วนพวกพ่อแม่ขณะนี้ก็มีภาระเสียภาษีเอาไปสร้างสมดุลบัญชีการเงินของธนาคารชาติต่อไปนั้นน่ะ “เข้าใจผิด”


ดูๆ แล้วแถวนี้ บนกระดานโซเชียลมีเดีย ไม่เห็นค่อยมีคนเชื่อคำของแบ๊งค์ชาติเท่าไรนัก ตัวเลขน่ะใช่ แต่ความเข้าใจที่ว่ารัฐบาล (รวมทั้ง ธปท.ด้วยแหละ) เพิ่มภาระหนี้ให้ประชาชนแน่นอน เพราะ บอกไม่หมด ละไว้ในส่วนที่ทำให้ผู้พูดดูไม่ดี

แบ๊งค์ชาติคงลืมไปว่าพลเมืองไซเบอร์ไทยเดี๋ยวนี้ ไม่เพียงอ่าน อีนิวส์วันละหลายหน้า ดูคลิปข่าวสารกันหลายๆ ชั่วโมง แถมยังชอบค้นชอบคุ้ยหาความกระจ่าง เสียจน ตาสว่าง กันเป็นแถว ผู้ช่วยผู้ว่าฯ อ้างตัวเลขสินทรัพย์ประกบหนี้แล้วก็ยังแจงไม่หมด

ประชากรออนไลน์รายหนึ่ง Thuethan Prasobchoke ไปค้นตัวเลขที่ ธปท.ทำตกหล่นพบว่า “หนี้สาธารณะของประเทศจริงๆ คือ ๗.๑ ล้านล้านบาท เป็นเงินกู้ที่รัฐบาลกู้เองอยู่ในตอนนี้ ๕ ล้านล้านกว่า นี่ยังไม่รวมหนี้เงินกู้ตาม พรก.กู้เงิน ๑ ล้านล้านบาท” นะ
เหตุจาก “รัฐบาลประยุทธ์นี่แหละที่ออกกฎหมายแต่งบัญชีใหม่ โดยให้แยกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยออกจากหนี้สาธารณะรวมของประเทศ เพื่อให้ก่อหนี้ได้มากขึ้น เพราะหากรวมหนี้ ธปท.เป็นหนี้สาธารณะด้วย ตัวเลขหนี้จะชนเพดาน ๖๐% ของ GDP

เท่ากับว่า “หนี้รวมทั้งสองก้อนเป็นเงินรวม ๑๓ ล้านล้านบาท หากรวมหนี้ พรก.กู้เงิน ๑ ล้านล้านเข้าไปอีก ตอนนี้คือเราเป็นหนี้บักโกรกอยู่ที่ ๑๔ ล้านล้านบาท ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศเรา...ตอนนี้อยู่ที่ ๑๖ ล้านล้านบาท”

เท่ากับปริมาณหนี้อยู่ที่ ๘๗.๕% ของจีดีพีนั่นเลยเชียว ไม่ว่าจะแต่งบัญชีอย่างไร แยกหนี้ไว้แบบไหน คนไทยก็ยังแบกภาระหนี้ จากการบริหารเงินธรรมดาๆ ของธนาคารชาติ กับการถลุงเงินของรัฐบาลประยุทธ์ตลอด ๕-๖ ปีที่ผ่านมานี่ละ

วิธีการถลุงอย่างหนึ่งก็คือจ่ายเงินเดือนข้าราชการพวกที่เป็นมือเป็นเท้าให้รัฐบาล คสช.และชุดสืบทอด ได้ครองอำนาจกันนานๆ ไม่ว่าจะในส่วนราชการประจำ ส่วนการเมือง ส่วนองค์กรอิสระและตามรัฐธรรมนูญ ฉบับออกแบบ เพื่อพวกเรา

ดูได้จากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ คสช.ตั้งเกือบทั้งนั้น เมื่อเปิดบัญชีทรัพย์สินหลังพ้นตำแหน่ง หูย รวยกันหลายสิบล้าน เบาะก็ ๓๐ ล้านอย่าง นุรักษ์ มาปราณีต ตลก.ลูกรังคนนั้น สุดยอดก็ต้อง จรัญ ภักดีธนากุล มีทรัพย์สินหักหนี้แล้ว ๑๘๔ ล้านบาท

จรัญคนนี้ที่บอกว่า ธรรมนัส พรหมเผ่า เคยติดคุกออสเตรเลียไม่เกี่ยวกับไทย ฉะนั้นไม่ต้องเอาเรื่องนั้นมาพิจารณาว่าเป็น โทษสมบัติให้ไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ตามที่ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ และประธานสภาส่งเรื่องให้ศาลฯ วินิจฉัย

วงจรอุบาทว์ของการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งด้านกฎหมายและการปกครองเช่นนี้แหละ ทำให้คนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา ออกมาทำกิจกรรมคัดค้านและต่อสู้กันมากยิ่งขึ้นทุกที ด้วยเหตุแจ้งกันแล้วว่าปล่อยไว้ อนาคตของพวกเขาฝ่อแน่