เมื่อ “นายอยากคุยด้วย” ก็แค่ส่งหัวไม้ในคราบเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไปดักตะครุบตัว
หรืออาจ ‘อุ้มหาย’ เมื่อไรก็ได้
นี่หรือคือ ‘New narrative’ ของรัฐบาล คสช.๒ จากการที่มีกลุ่มคนปกปิดสังกัดพยายามเข้าควบคุมตัว
‘โตโต้’
ขณะที่ #กองทัพบก
ก็พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองไทยเมื่อปี ๒๔๗๕ ด้วยการออกแถลงข่าวเรื่อง
“บำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย พล.อ.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช” ซึ่งก่อกบฏในปี ๒๔๗๖
ทัพบกสมอ้างอย่างด้านๆ ว่าจัดพิธีนี้ “เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของนายทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน
และยังเป็นนายทหารประชาธิปไตย” โดยกล่าวหาพยาพหลฯ ‘เป็นเผด็จการ’
จึงต้องการให้รัฐบาลเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ข้อสำคัญที่ทัพบกอ้างเป็นวีรกรรมของบวรเดช และพระยาศรีสิทธิสงคราม
แม่ทัพฝ่ายกบฏ ก็เพราะเรียกร้อง “ให้รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้” ทั้งๆ
ที่ชาวไทยใฝ่รู้ความจริงซึ่งมีจำนวนล้นหลาม โดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาว เติบโตมาท่ามกลางการอำพรางประวัติศาสตร์
บัดนี้รับทราบกันถ้วนหน้าแล้วว่า
ในเบื้องต้นคณะราษฎรคนสำคัญฝ่ายทหารเสนอว่า ‘ยิงให้หมด’ แต่สมาชิกคนสำคัญฝ่ายพลเรือนค้านว่าทำอย่างนั้นรุนแรงเกินไป
เหมือนฝรั่งเศสและรัสเซีย ทั้งรัชกาลที่ ๗ จึงยังทรงครองราชย์สืบต่อมาภายใต้รัฐธรรมนูญ
อำนาจของกษัตริย์อันสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับ
และบ่อยครั้งอ้างอิงบังคับใช้ตลอดมา
รวมทั้งในการละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการสนับสนุนคณะทหารที่ยึดอำนาจการปกครองอย่างเผด็จการ
จนมาถึงรัชกาลที่ ๑๐ นี่พระราชอำนาจเต็มเปี่ยมเหนือกองทัพราชวัลลภ
แล้วยังทรงพระราชอำนาจเต็มเปี่ยมทางการเงิน
เหนือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเคยอยู่ในสังกัดกระทรวงการคลัง
และดูเหมือนจะทรงพระราชอำนาจจัดการรื้อถอน (สัญญลักษณ์คณะราษฎร) และปลูกสร้างตามพระราชหฤทัย
การที่ทัพบกแสดงออกให้เห็นถึงความอคติที่มีต่อคณะราษฎร
ด้วยการบิดเบือนว่าหัวหน้ากบฏ ‘บวรเดช’
เป็นประชาธิปไตยและหัวหน้าคณะอภิวัฒน์ ‘พยาพหลฯ’ เป็นเผด็จการ นี่เป็นความต่ำทรามลงไปอีกระดับหนึ่งของกองทัพไทย
อีกด้านหนึ่งมีปฏิบัติการในลักษณะอั้งยี่หรือ
‘มาเฟีย’ โดยรัฐ ภายใต้การปกครองระบบ
คสช.๒ ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ ‘นอกเครื่องแบบ’ ที่ไม่ยอมบอกสังกัด ไม่แสดงบัตร ไม่มีหมายสั่ง
ออกติดตามจับกุมควบคุมตัวนักกิจกรรมบางราย
‘โตโต้’ เป็นหนึ่งในจำนวนนักกิจกรรมสี่ห้าคนที่
‘ข่าวลือ’ ว่าถูกหมายหัวจัดการ หุ้มหาย
แบบเดียวกับที่เกิดกับ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ในกรุงพนมเปญ กัมพูชา เรื่องลือที่ระบุนายทหารราชองครักษ์ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวฯ
นี้ยังไม่มีความกระจ่างในทางใด จริง-ไม่จริง
ฉะนี้ เหตุที่เกิดกับ ปิยรัฐ จงเทพ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนา “จากกลุ่มชายที่ไม่เปิดเผยชื่อ และสังกัด แต่อ้าง
ผู้บังคับบัญชามีอำนาจมากมาย ให้มาคุมตัวผมไปพบ” ขณะเขากำลังเดินทางกลับจากการร่วมกิจกรรมรำลึก
ครบรอบ ๘๘ ปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง
“ชายคล้ายเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ
เดินตามผมมายังจุดเรียกรถแท๊กซี่ ก่อนจะพยายามห้ามรถแท๊กซี่ทุกคันจอดรับผม
และเข้าประชิดตัวผม...ผมพยายามขัดขืน หลีกหนีเข้าหาฝูงชนและสื่อมวลชน จนกลุ่มชายดังกล่าวค่อยๆ
ถอยห่าง”
นั่นเป็นเหตุการณ์ตามคำเล่าเจ้าตัวหลังจากที่สามารถแหวกวงล้อม
ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มสื่อมวลชนและผู้ร่วมกิจกรรม ทำให้ “สามารถออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย”
แต่ก็ได้ทราบในเวลาต่อมาว่าเหตุการณ์ที่เกิดเป็นปฏิบัติการของตำรวจ
ที่ “ต้องจับกุมตัวผมตามหมายจับ” โทรศัพท์ติดต่อจากตำรวจบอกแค่นั้น
แต่ไม่มีใครบอกว่านอกเครื่องแบบกลุ่มนั้นมาจากหน่วยไหน ผู้ถูกหมายหัวไม่ร่วงรู้มาก่อนว่าถูก
‘หมายจับ’ ในความผิดอะไร
“ได้แต่คาดเดาว่าคงเป็นคดีเกี่ยวกับ พรบ.ชุมนุม”
เหตุการณ์อย่างนั้น มันเกินธรรมดา หรือ ‘abnormal’
ต่อครรลองประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ชนิดที่พวกศรัทธาใน ‘บวรเดช’ อาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
จึงได้แอบอ้างไม่ละอายว่าการกบฏที่หมายแย่งคืนสมบูรณายาสิทธิราช เป็นประชาธิปไตย