วันจันทร์, มิถุนายน 22, 2563

"ทิวากร" ผู้ใส่เสื้อ "เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว" อธิบายความในใจของการแสดงออก




ผมได้ใส่เสื้อตัวนี้แล้ว ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิตครับ
"เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว"
====================================
“หมดศรัทธา” ไม่ได้แปลว่า “ล้มเจ้า”
"หมดศรัทธา" มันคือความรู้สึกที่อยู่ในใจ ที่มีต่ออะไรสักอย่าง ในทำนองเดียวกับ "หมดรัก", "หมดเยื่อใย", "หมดใจ", "หมดความไว้ใจ" มันเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคน สามารถพูดและแสดงออกมาได้ ตราบใดที่คนที่พูดและแสดงออกไม่ได้ไปทำความเสียหายให้กับทรัพย์สิน ไม่ได้ไปทำร้ายร่างกายคนที่ยังศรัทธา และไม่ได้ทำผิดกฏหมายอย่างอื่น
ในกรณีที่ ถ้าหากว่าสิ่งนั้น/คนนั้น(ที่ถูกศรัทธา) และคนที่ยังศรัทธา เกิดความขุ่นเคือง จนถึงขั้นไปทำร้ายคนที่พูดและแสดงออก ถือว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะนอกจากมันจะไม่ช่วยทำอะไรให้ดีขึ้นแล้ว มันยังไม่ได้ช่วยทำให้คนหันกลับมาศรัทธาดังเดิมได้ และมันจะยิ่งทำให้สิ่งนั้น/คนนั้น เสียหายมากขึ้นไปอีก
ถ้าอยากให้คนกลับมาศรัทธาดังเดิม มันมีทางเดียวเท่านั้น คือ
สิ่งนั้น/คนนั้น(ที่ถูกศรัทธา) ต้องปรับปรุงตัวเอง อาจจะถามคนที่ "หมดศรัทธา" ตรงๆ เลยก็ได้ว่า ทำไมถึง "หมดศรัทธา" ต้องให้ปรับปรุงตรงไหนบ้าง ให้บอกมา ถ้าได้รู้แล้วว่าต้องปรับปรุงตัวเองตรงจุดไหนบ้าง ก็ถามตัวเองว่า จะแก้ไข หรือไม่แก้ไขแล้วปล่อยให้คน "หมดศรัทธา" ต่อไป
และสิ่งนั้น/คนนั้น(ที่ถูกศรัทธา) ต้องจำไว้ในใจให้จงหนักว่า เมื่อเขา "หมดศรัทธา" แล้ว ไม่มีทางที่จะทำให้เขากลับมาศรัทธา ด้วยวิธีการบังคับโดยใช้กำลังและความรุนแรง ได้โดยเด็ดขาด
ในส่วนของผู้ที่ยังศรัทธา หากอยากช่วยให้คนกลับมาศรัทธาดังเดิม มีวิธีที่สามารถทำได้ ดังนี้
1. สำรวจ ตรวจสอบ หาข้อมูลความจริงให้ถ่องแท้ ว่า ทำไมคนถึง "หมดศรัทธา" ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี
1.1 สำรวจตรวจตราด้วยตัวเอง โดยค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต
1.2 เข้าไปถามคนที่ "หมดศรัทธา" ตรงๆ ว่าทำไมถึง "หมดศรัทธา"
2. เมื่อได้สาเหตุของการ "หมดศรัทธา" แล้ว ก็ไปช่วยปรับปรุง สิ่งนั้น/คนนั้น (ที่ถูกศรัทธา) ให้ดีขึ้น จนทำให้ผู้ที่ "หมดศรัทธา" หันกลับมาศรัทธาใหม่อีกครั้ง
แล้วก็ให้เน้นย้ำกับตัวเองอยู่ตลอดว่า คุณไม่มีทางที่จะทำให้คนที่ "หมดศรัทธา" กลับมาศรัทธา ด้วยวิธีการบังคับโดยใช้กำลังและความรุนแรงได้ ถ้าหากคุณไปทำร้าย ข่มขู่คนที่ "หมดศรัทธา" มันจะยิ่งเป็นผลเสียหายต่อ สิ่งนั้น/คนนั้น ที่คุณศรัทธาอยู่
ป.ล.
1. เสื้อตัวนี้ ผมสั่งทำพิเศษนะครับ ตั้งใจซื้อมาใส่เอง เป็นการเฉพาะ เพื่อแสดงออกเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจที่จะกระจาย หรือทำขาย แต่อย่างใดครับ
2. ถ้าหากสหายท่านใดอยากได้เสื้อที่มีข้อความนี้ ท่านต้องทำใส่เองนะครับ
...


เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และฝ่าย กอ. รมน. ที่กำลังสืบหาข้อมูลของผมอยู่ในขณะนี้ ซึ่งวันนี้ก็มีคนจากหมู่บ้านข้างเคียงมาถามข้อมูลของผม จากแม่ผม แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้อยู่ด้วย ผมจึงขอตอบคำถามท่าน ผ่านหน้า Facebook นี้ก็แล้วกันนะครับ
1. ใครเป็นคนทำเสื้อนี้ให้ผม?
ตอบ: เป็นสหายท่านหนึ่ง ที่ไม่อยากเปิดเผยตัว ที่ผมรู้จักในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” คนที่ทำเสื้อนี้ เขาทำขึ้นมาขายให้ผมโดยเฉพาะ ไม่ได้ไปกระจายต่อ หรือเอาไปขายในที่อื่นๆ
2. ผมทำคนเดียวหรือว่าช่วยกันทำหลายๆคน?
ตอบ: ผมทำคนเดียว โดยริเริ่มจาก ไปโพสต์ในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” เพื่อหาคนที่จะทำเสื้อที่มีข้อความว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” โดยผมได้กำหนด Concept ไว้ 5 ข้อ (ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ในเม้นต์ ใต้กระทู้นี้) หลังจากผมโพสต์ถาม ก็มีหลายคนเสนอตัวรับทำเสื้อให้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำได้ตาม Concept ทั้งหมด 5 ข้อ จากนั้น ผมก็โอนเงินให้เขา แล้วเขาก็ไปทำเสื้อมา พอเขาทำเสื้อเสร็จ เขาก็ส่งให้ผมตามที่อยู่ทางไปรษณีย์
หลังจากที่ผมได้เสื้อแล้ว ผมก็ทำลายร่องรอยที่จะสาวไปถึงคนที่ทำเสื้อให้ผม จากนั้น ผมก็ใส่เสื้อนี้ แล้วถ่ายรูป แล้วนำไปโพสต์ลงในหน้า Face ส่วนตัวของผม และโพสต์ลงในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” ด้วย
ถ้าท่านอยากจะรู้ข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับผม ท่านสามารถโพสต์ข้อความไว้ใต้เม้นท์นี้ได้เลยครับ ผมจะบอกข้อมูลให้ท่านทั้งหมด โดยที่ท่านไม่ต้องเสียเวลาไปสืบหา
ในส่วนของความเป็นมาและเหตุจูงใจที่ทำให้ผมออกมาต่อสู้เพื่อ ปชต. ในครั้งนี้ ผมขอบอกให้ท่านทราบตอนนี้และตรงนี้เลยก็แล้วกันนะครับ
===================================
ผมขอเท้าความนึดหนึ่ง
ผมก็เคยเลิกสู้ จำได้เลยว่า วันนั้น คือวันที่ 26 ธ.ค. 2553 ที่บอกกับกลุ่มเสื้อแดง (กลุ่ม Red Camfrog นักรบไซเบอร์) ที่ผมเคลื่อนไหวด้วยกัน
ผมออกจากเสื้อแดง ด้วยเหตุผลที่ว่า คำนิยาม และเป้าหมายของขบวนการคนเสื้อแดง มันแคบกว่า สิ่งที่ผมต้องการ ตอนนั้น ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก ว่าสิ่งที่ผมต้องการที่แท้จริง มันมีนิยามที่แน่ชัดว่าอะไรกันแน่ รู้แต่ว่าแนวทางของคนเสื้อแดงมัน "ไม่ใช่"
จากนั้นผมก็ใช้ชีวิตของผมไป แบบว่า ทำมาหากินไป ... แต่มันเหมือนกับว่า ผมขาดอะไรบางอย่าง มันเหมือนกับว่า มีอะไรค้างคาใจอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งหลังรัฐประหาร ปี 2557 ผมก็เกิดความสิ้นหวัง หลังจากที่ผมไปสัมภาษณ์คนในสวนสาธารณะ สะพานพระราม X แทบจะทุกคน ล้วนแล้วแต่สนับสนุนทหาร และมีบางคนบอกว่า ต้องกำจัดคนเสื้อแดงออกไปจากประเทศไทย
ผมเกิดความสิ้นหวังมาก ที่รู้ว่า คนไทยมีจิตสำนึกฝักใฝ่เผด็จการ จำนวนไม่น้อย และพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นอย่างที่เจ้าของโพสต์(ใช้ Facebook ชื่อ “สมหมอย หอยลายผัด”)ได้ร่ายยาวมา (เนื้อหาอยู่ด้านล่าง) ซึ่งผมเห็นแย่ๆ เยอะกว่านั้นอีก ผมจึงตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น แต่ผมก็ติดห่วง คือยังอยากอยู่กับแม่ก่อน ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว (ตาย) ผมถึงจะไป แล้วผมก็ย้ายมาอยู่บ้านเกิดที่ต่างจังหวัด อยู่บ้านแม่ ทำการเกษตร เลี้ยงวัว ปลูกผัก ปลูกผลไม้ เลี้ยงกบ เลี้ยงไก่
ผมรู้ตัวเองดีว่า แนวคิดทางการเมืองผม เป็นไปในทางเดียวกับ(ไม่ทั้งหมด)ผู้ลี้ภัยทางการเมืองคนอื่น ผมจึง Isolate ตัวเองออกจากสังคม แยกตัวจากเพื่อน แยกตัวจากญาต ไม่เข้าสังคมโดยสิ้นเชิง ทำนองว่า หลบอยู่ในรู ถ้าออกจากรูหรือเข้าสังคม ผมก็อาจจะไปปะทะทางความคิด และสนทนา กับคนอื่น จนนำไปสู่การจับกุมตัวผม โดยอำนาจเผด็จการ
คือแบบว่า ขนาดหลบอยู่ในรูแล้ว ก็ยังต้องกลัว
จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่ เหตุการณ์อุ้มวันเฉลิม เมื่อ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา มันทำให้ผมเกิดจิตสำนึกอย่างหนึ่งขึ้นมา การอุ้มวันเฉลิม มันเท่ากับอุ้มผมด้วย มันเท่ากับอุ้มทุกคนที่คิดแบบเดียวกับวันเฉลิม ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะไม่คิดสู้ ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหว หรือแม้แต่หลบอยู่ในรูแบบผม
แล้วมันก็ทำให้ผมได้คิดอีกข้อหนึ่งว่า การที่ผมเลิกสู้ และเลิกต่อสู้ร่วมกับคนเสื้อแดง และฝ่าย ปชต. เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2553 มันคือการที่ผมทอดทิ้งพวกเขาให้สู้อย่างเดียวดาย
ผมจึงกลับมาสู้ใหม่ และจากการพูดคุยกับสหายท่านหนึ่ง (ที่ผมนับถือเป็นอาจารย์) ที่ผมเจอในกลุ่ม "รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส" ผมก็ได้บรรลุธรรม ว่า การที่เราจะสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้นั้น เราต้องเผยแผ่แนวคิดสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเท่าเทียม ออกไปในวงกว้าง เมื่อเขาเข้าใจ(ในระดับจิตสำนึก)หลักคิดของสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และความเทียม แล้ว เขาจะออกมาเรียกร้องเอง
สิ่งที่ขาดหายไป ที่ก่อนหน้านี้ (เกี่ยวกับ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการต่อสู้เพื่อปชต.) ที่ตอนนั้นผมไม่สามารถหาคำมาอธิบายที่ชัดเจนได้ ผมจึงได้เข้าใจมันแล้ว
เป้าหมายสูงสุดของการต่อสู้เพื่อปชต. ก็คือ
“เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยในอุดมคติ ที่ทุกๆคนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ โดยแต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง และ มีจิตสำนึกของ “ความเท่าเทียม” โดยไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพและตัวตนที่แท้จริงของบุคคลอื่น”
ความชั่วร้ายและปัญหาทั้งหมด ที่เกิดจากนิสัยไม่ดีของคนไทย (ดูรายละเอียดด้านล่าง) มันจะถูกกำจัดออกไปได้ทั้งหมด ถ้าหากประชาชนไทยมีความเข้าใจและมีจิตสำนึกในสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และ “ความเท่าเทียม”
และทุกคนก็จะสามารถร่วมกันสร้างสังคม ปชต. ในอุดมคติ อย่างที่กล่าวมา
=======================
นิสัยที่ไม่ดีของคนไทย ที่สหายที่ใช้ชื่อ Facebook: “สมหมอย หอยลายผัด” ได้โพสต์ไว้ในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” มีดังต่อไปนี้ครับ
ผมฟันธงเลย คนไทยไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศได้หรอก
ทำไมผมถึงพูดแบบนี้
ก็เพราะลักษณะนิสัยของคนไทย ไม่ชอบยุ่งยาก
ไม่รักษาสิทธิ์
เวลามีเรื่องเหี้ยๆ เกิดขึ้นในสังคมก็ชอบเพิกเฉย
คิดแค่อย่างเดียว
“มันคงไม่เกิดขึ้นกับเราหรอกมั้ง?”
แล้วก็หยวนๆกันไป
เรื่องนี้เป็นถึงระบบกฎหมายยุติธรรมด้วย
สังคมเราไม่ใช่สังคมที่มีความเข้มแข็ง
ไม่มีการคว่ำบาตรทางสังคมที่จริงจัง
ไม่มีการกดดันหรือทำให้ผู้กระทำผิดศีลธรรมหรือกฎหมายรู้สึกลำบากใจเมื่อได้ทำความผิดไปแล้ว
คนพวกนั้นจะคิดว่า”เดี๋ยวสังคมก็ให้อภัย”
ซึ่งแม่งก็จริง
ดูตัวอย่างเรื่องง่ายๆ
“การขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้า”
ถ้าเป็นประเทศเจริญแล้ว ไม่มีใครทำหรอกครับ
แต่เป็นบ้านเรา มันขี่ยังไม่พอ
ยังไล่คนเดินเท้าด้วยการบีบแตรด้วย
คนเดินถนน ก็คิดซะว่าอย่าไปมีเรื่อง ไม่คุ้ม
ปล่อยเขาไปเถอะ
เสียเวลา
ก็คิดกันแบบนี้บ้านเมืองถึงไม่เจริญ
ถ้าไปทำนิสัยแบบนี้ที่ญี่ปุ่น
มึงจะโดนด่าจากคนแถวนั้นเลย
มึงไม่มีคนคบเลยนะ
เข้าไม่คบค้าสมาคมด้วยเลย
เขาเรียก social sanction
หันกลับมาดูบ้านเราอย่างที่เห็น
กลัวเปลืองตัว
กลัวเสียเวลา
กลัวถูกทำร้าย
เพราะสังคมเราไม่แข็งแรงแบบนี้
เราคงหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ได้อีกแล้ว
...


ผมต้องขอขอบคุณศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างสูง มา ณ ที่นี้ ที่เดินทางมาถามไถ่ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พร้อมทั้งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือถ้าหากเกิดกรณีที่มีการฟ้องร้องในทางคดีความ และกรณีที่มีการข่มขู่ คุกคาม และการทำร้ายร่างกายในรูปแบบต่างๆ

จริงๆ แล้วการเข้ามาซักถามของเจ้าหน้าที่หลายๆฝ่ายนับ 10 คนนั้น เป็นไปอย่างฉันมิตรครับ เจ้าหน้าที่ไม่ได้คุกคามผมแต่อย่างใดเลยครับ พวกเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรครับ ผมเข้าใจเจตนาดีของเจ้าหน้าที่ดีครับ ที่กังวลว่าเสื้อตัวนี้ จะนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันระหว่างคนที่รัก vs คนที่หมดศรัทธา ซึ่งผมก็อธิบายเหตุผลทุกอย่างไป ฝ่ายเจ้าหน้าทีก็รับฟังเหตุผลของผมครับ โดยไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใดครับ

ทิวากร วิถีตน
21 มิ.ย. 2563