ที่วิจารณ์กันว่า ‘วุ่น’ ในพลังประชารัฐ ไม่น่าจะเป็นอะไรมากไปกว่าการเมือง
‘ธรรมดา’ หลังจากที่อำนาจรัฐประหารอยู่ตัว
กงกรรมกงเกวียนในประเทศไทยมาตั้งแต่กึ่งพุทธกาล แย่งชิงตำแหน่ง กอบโกยสัมปทาน ดั่งช่วงทศวรรษ
๒๕๐๐
แม้ คสช.๒ จะอยู่มาได้เพียงปีกว่าๆ
แต่ก็เป็นช่วงบักโกรกที่สุด
โดยเฉพาะกับประชาชนซึ่งทำมาหากินฝืดเคืองมาแล้วก่อนหน้านี้ ๕ ปี โควิด-๑๙
เข้ามาทับถมนั่นใช่ แต่โควิดไทยนี่อ่อนมาก น้อยกว่าไต้หวัน เกาหลีใต้เยอะ
แต่รัฐบาลภายใต้ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก็ไม่สามารถพลิกผันให้ผ่อนคลายความยากไร้ที่หมักหมมมาระหว่างการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จได้
สี่กุมารประชารัฐจึงต้องรับโทษไปตามระเบียบ ทำนองเดียวกับที่ ๕ ตำรวจกองอารักขาโดนธำรงวินัย
การเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคไปเป็นประวิตร
วงษ์สุวรรณ ที่กำลังใกล้จะถึงที่สุด เมื่อ ‘พี่ป้อม’ ประกาศว่า “ถามผม ส่วนตัวพร้อม” แม้กระทั่งในเสียงร่ำลือที่ปฏิเสธเท่าไรไม่ยอมหยุดว่า
‘พี่ใหญ่’ จะรับช่วงตำแหน่งนายกฯ
ต่อจาก ‘น้องใหญ่’ ด้วย
ทั้งในสายการบังคับบัญชา
ใครจะไปใครจะมาพอรู้กันบ้างแล้ว ว่าคงจะเป็นการสับเปลี่ยนลูกไล่ คสช.ครั้งใหญ่เหมือนกัน
รวมถึงหัวหอกสำคัญในการกำกับ ส.ส.รัฐบาลไม่ให้แตกคอก นั่นคือประธานวิปรัฐบาล
ว่าใครจะมาแทน วิรัช รัตนเศรษฐ
จะเห็นบทบาทล่อแหลมของ สิระ เจนจาคะ
ที่พยายามฟาดฟัน ธรรมนัส พรหมเผ่า มาหลายครั้งหลายเพลา
ล่าสุดเมื่อวานนี้เองกลางที่ประชุมพรรค ลุกขึ้นเสนอว่ากรรมการบริหารชุดใหม่ “ต้องไม่เกี่ยวพันกับยาเสพติด”
ทำเอา ไผ่ ลิกส์ ตะโกนสวน “บ้าหรือเปล่า บ้าหรือเปล่า”
และหากตำแหน่งเลขาธิการพรรค อันจะควบ
รมว.พลังงาน ที่ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐแนะว่า สันติ พร้อมพัฒน์ “สายตรงบ้านป่ารอยต่อฯ”
เต็งหนึ่ง แต่ก็มีตัวแทรกรอชิงหลายคน ไม่ว่า อนุชา นาคาสัย หรือว่าสายสามมิตร รวมทั้งเส้น
กปปส. ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
นั่นอาจเป็นสัญญานรอการปรับกระบวนลิ่วล้ออีกหน
ปีโน้นหรือแม้แต่ปีหน้าได้ การลาออกจากหัวหน้าพรรค รปช. เพราะถูก ‘สุเทือก’ เจ้าของพรรคบีบ
ก็เป็นการเปลี่ยนแรงลากจากฬ่อ นัยว่าจะเอาม้ามาแทน แต่จะได้ลาเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้
ไฮไล้ท์เรื่องนั้นอยู่ที่ ม.ร.ว.จตุมงคล
โสณกุล เคยโพล่งว่า “มาสั่งให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ผมเป็นหัวหน้าพรรค
แต่ทำไมไม่ฟังความคิดเห็นผม” ก็เลยถูกกรรมการบริหารลงมติว่าผลงาน ๑ ปี ไม่ผ่าน จึงต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค
ข่าวรั่วว่า เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะเข้าไปกุมบังเหียนแทน
ส่วนตำแหน่ง รมว.แรงงาน เห็นว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ รับจากประยุทธ์มาให้พรรคของตนคุมต่อไป
ก็มีการเสียงว่า หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ที่เป็นรอยัลลิสต์เกินหน้า ‘หม่อมเต่า’ จะเข้าเสียบแทน
(https://www.matichon.co.th/politics/news_2231306,
https://www.matichon.co.th/politics/news_2231306
และ https://www.thairath.co.th/news/politic/1870380)
การจัดกระบวนใหม่ของรัฐบาล คสช.๒
ครั้งนี้ปะเหมาะพอดีกับข่าวไม่ยืนยัน (แต่ ‘กรอง’) ของ Somsak
Jeamteerasakul ที่ว่า “เสี่ยจะกลับมาอยู่เมืองไทย...จะให้ทุบท่าช้าง-ตลาดวังหลัง
ทำเป็นพวก arcade mall ขายของให้พวกนักท่องเที่ยว
...วังปารุสก์ก็น่าจะทำเป็น arcade
เหมือนกัน แล้วจะมีสวนสนามลานพระรูปทรงม้า เก็บเงินคนดู”
แล้วแถมด้วยว่า “ตอนนี้ อุโมงค์สร้างถึงสนามม้าแล้ว จะมีรูปปั้น ร.๙ ทำด้วยทองคำ ๙
เมตร” อีกทั้ง “ที่ประยุทธ์ออกมาพูดเมื่อวาน” ก็ “เสี่ยสั่งมา”
มิน่าวันนี้ ‘Deep
Blue Sea’ ออกมาทวี้ตเรื่อง “นายกฯบิ๊กตู่กลับมาสวมแหวน ‘พญาครุฑ’ อีกครั้ง แต่เปลี่ยนมาใส่นิ้วนางข้างซ้าย”
ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าแหวนครุฑเป็นสัญญลักษณ์ของพลังอำนาจ เข้ากับบรรยากาศการเชิดชูพระมหากรุณาธิคุณของ
ร.๑๐
จะเป็นเช่นไรต่อไปก็สุดแท้แต่ การปรับกระบวนทั้งในส่วนของรัฐบาล
(อันสืบทอดมาจากคณะรัฐประหาร) และสถานะแห่งองค์พระประมุข ที่จะมิทรงเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของแคว้นบาวาเรียประเทศเยอรมนี
อีกต่อไป อย่างน้อยๆ ทำให้เห็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
๖
ปีของการจ่อมจมกับความไม่แน่ใจว่าอนาคตของประชากรจะเป็นอย่างไร สภาพอัตคัตโดยทั่วไปย้อนแย้งกับความอูฟูในส่วนย่อย
ความผิดแผกที่ส่วนหนึ่งทำอะไรก็ผิด อีกส่วนทำผิดแต่ยกเว้นได้ ในระบอบราชาชาตินิยมที่ชนชั้นผู้ดีอ้างอิง
ดูจะนำไปสู่ความมืดมน
การกลับมาให้ ‘ขุนศึก’ ได้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท ‘พระประมุข’ น่าจะส่งผลชงัดกว่าการรักษาระยะห่างที่ผ่านมา
พระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงมีรับสั่งโดยตรงต่อนายกฯ ประยุทธ์บ่อยๆ ลองดูสักตั้งว่าการร่วมงานอย่างไม่มี
‘distancing’ ของขุนศึกกับราชา เกิดผลจะจะขนาดไหน