วันพุธ, มิถุนายน 17, 2563

สุนทรพจน์ของ Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีประเทศแคนาดา ที่กล่าวต่อผู้สำเร็จการศึกษาในปีนี้ : เราจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่ไร้ค่า หรือจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณค่า



ทรูโด! ในหมู่ผู้ร่วมชุมนุม Black Lives Matter

Justin Trudeau นายกฯ แคนาดามองเห็นอะไรในตัวคนรุ่นใหม่
.
ผมเพิ่งได้ฟังสุนทรพจน์ของ Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีประเทศแคนาดา ที่กล่าวต่อผู้สำเร็จการศึกษาในปีนี้ แล้วผมรู้สึกขนลุกกับทุกคำของเขา ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านแล้วคิดตามว่าในสายตาของผู้นำแคนาดาคนนี้ เขามองคนรุ่นใหม่ในประเทศอย่างไร และเมื่อเขามีโอกาสได้พูดกับคนรุ่นใหม่ เขาได้บอกอะไรกับคนรุ่นใหม่
.
“ไม่มีนักเรียนคนไหนมีโอกาสได้เลือกว่าเขาจะเรียนจบไปแล้วเจอโลกแบบไหน --- ถ้าเลือกได้ และไม่ต้องโกหกกัน คุณคงไม่เลือกเรียนจบมาเจอโลกในปี 2020”
.
อันนี้จริง! ผมได้ยินเด็กจบใหม่หลายคนที่กำลังกังวลเรื่องการหางานทำ ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมหนูต้องมาเจออะไรแบบนี้เอาตอนเรียนจบด้วย”
.
ผมได้แต่คิดว่า พวกหนูคือ “The Chosen Ones” และพวกเราที่กำลังเผชิญเหตุการณ์วิกฤตในปีนี้ก็เป็น The Chosen Ones เหมือนกัน --- ไม่ว่าอะไรจะเป็นคนเลือกก็ตามแต่
.
โลกในปี 2020 มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? อัคคีภัยที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลียซึ่งเชื่อมโยงกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป เครื่องบินตกอย่างน่าสยดสยองในอิหร่าน การยิงหมู่ในแคนาดา ความรุนแรงที่ตำรวจใช้กับคนผิวดำและคนพื้นเมือง รวมไปถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปทั่วโลกซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ฯลฯ
.
Justin Trudeau บอกว่า ปี 2020 ยังทำให้เห็นข้อจำกัดและรอยด่างพร้อยที่มีในโลกของเรา --- โลกที่คนรุ่นใหม่กำลังต้องรับช่วงต่อ --- ขณะเดียวกัน ปี 2020 ก็ยังเป็น “wake up call” ว่าโลกต้องการคนรุ่นใหม่มากเพียงใด เพราะคนรุ่นใหม่รับรู้และ “เซนส์” ต่อสิ่งที่เป็นปัญหาบนโลกนี้ และรู้ว่าอะไรบ้างที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
.
“พวกคุณเดินขบวนเพื่อเรียกร้องเรื่อง Climate Change คุณกล้าที่จะพูดว่า Me too คุณผลักดันให้พวกเรารู้จักการเจรจาประนีประนอม คุณยืนหยัดเพราะคุณเชื่อว่า Black Lives Matter คุณต้องการเสรีภาพที่จะรักและเป็นตัวของตัวเอง การได้รับปริญญาเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ แต่ดูสิ พวกคุณไม่จำเป็นต้องมีกระดาษแผ่นไหนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม คุณไม่ได้รอวันรับปริญญาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่คุณลงมือทำสร้างการเปลี่ยนแปลงทันทีโดยไม่รีรอ”
.
มีผู้สำเร็จการศึกษาก่อนหน้านี้น้อยมากที่จะได้เจอกับโลกที่เปลี่ยนแปลงแบบวันนี้ แต่รุ่นปี 1939 ซึ่ง Justin Trudeau เรียกว่า “รุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เพราะสำเร็จการศึกษาในช่วง The Great Depression และสงครามโลกซึ่งพวกเขาไม่ได้เป็นคนก่อ แต่เมื่อต้องเผชิญกับความพังทลายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน พวกเขาเลือกจะสร้างโลกแบบใหม่ด้วยความทุ่มเทและการจับมือกันแก้ปัญหา พวกเขาสร้างสถาบันมากมายที่เป็นรากฐานและพาคนรุ่นต่อมาก้าวข้ามผ่านครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้ พวกเขาสร้างโลกที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น เมตตากันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น พวกเขาเสียสละอย่างมาก พวกเขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาทำงานอย่างหนัก และสร้างโลกที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเกิดมา
.
สิ่งที่รุ่น 2020 กำลังเผชิญอยู่ก็ไม่ต่างกัน เส้นทางที่คนรุ่นใหม่เลือก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ ในไม่กี่ปีข้างหน้านี้จะเป็นการตัดสินใจเพื่ออนาคตของประเทศเราและโลกของเรา
.
“โควิด-19 พรากหลายสิ่งไปจากเรา แต่โรคระบาดในครั้งนี้สอนบทเรียนที่สำคัญมากกับเรา หนึ่งในบทเรียนนั้นคือ การสอนว่าเราต้องพึ่งพากันและกัน การจะเอาชนะไวรัสนี้ได้ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และสิ่งที่เราได้เห็นคือคนรุ่นใหม่ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเสียสละเพื่อปกป้องผู้สูงอายุ การต้องเปลี่ยนมาเรียนและสอบออนไลน์ และการเลือกจะช่วยเหลือครอบครัว เพื่อนบ้าน และชุมชนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการเป็นอาสาสมัครและช่วยเหลือธุรกิจใหม่ๆ ให้สามารถปรับตัวเข้าสู่ New Normal ได้ พวกคุณก้าวออกมาอย่างกล้าหาญ พวกคุณทำมันได้”
.
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมองออกไปยังช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด การนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่น และการดูแลกันและกัน นี่คือสิ่งที่โควิด-19 สอนเราอยู่ และทำให้เราตระหนักว่า เพื่อนมีความสำคัญ ผู้คนรอบตัวของเรามีความหมาย นี่คือช่วงเวลาที่เราจะสร้างสังคมที่ดีอย่างเราต้องการ และสร้างตัวเราให้มีคุณค่าอย่างที่เราอยากเป็น เป็นเพื่อนบ้านที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีทั้งในโลกออนไลน์และในชีวิตจริง”
.
คนรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับโลกออนไลน์ที่ทำให้รู้ว่าโลกนี้สามารถเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนต่างชาติต่างภาษา ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่มีคุณค่าร่วมกัน ทุกข์ระทมแบบเดียวกัน และมีความฝันเหมือนกัน หรือล่าสุด คนรุ่นใหม่ร่วมกันส่งเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง คนรุ่นใหม่ขยายการเรียกร้องสังคมที่มีความยุติธรรมมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น จากจุดตั้งต้นใน Minneapolis คนรุ่นใหม่ไม่เพียงเข้าใจถึงคุณค่า แต่เข้าใจพลังของคอมมิวนิตี้มากกว่าใคร
.
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้พวกเราได้เห็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่เป็นมาตลอดนั่นคือ คนรุ่นใหม่ห่วงใยกันและกัน ห่วงใยผู้คนที่คุณไม่เคยพบหน้าค่าตา และสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบนโลกใบนี้
.
“และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่าพวกคุณจะเป็นรุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21”
.
“คุณรู้ว่าโลกมีอะไรผิดปกติและรู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร หน้าที่ของคุณไม่เพียงแต่การท้าทายคนอย่างผม แต่เป็นการพาพวกเราทุกคน ทุกรุ่น ทุกความแตกต่าง ก้าวเดินไปด้วยกันหมด เส้นทางข้างหน้าคงไม่ง่าย มันจะมีความล้มเหลว ความผิดหวัง และหัวใจที่แหลกสลาย แต่พวกคุณมีทุกอย่างที่ต้องมีในการก้าวต่อ พวกคุณฉลาด มีทักษะ มีความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น มีความรัก ความเมตตา และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
.
“ที่สำคัญ คุณคือคนแคนาดา คุณตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการเรียกแผ่นดินแห่งนี้ว่าบ้าน แต่คุณก็รู้ว่าแคนาดานั้นห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ พวกเรายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก และเราต้องทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่ด้วยความยิ่งทะนงในความเป็นคนแคนาดา ตรงกันข้าม ความตั้งใจที่จะพัฒนา ความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และการมีความหวังถึงอนาคต คือหัวใจของคนประเทศเรา”
.
ผมคิดว่าการให้ความหมายของการเป็นคนแคนาดาของเขาน่าสนใจมากครับ คนแคนาดาสำหรับเขาหมายถึง คนที่ Humble มาก เขาไม่ได้บอกว่า “ประเทศข้าดีที่สุดในโลกนะเฟ้ย!” แต่ยอมรับว่ายังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีกมาก แต่สิ่งที่เป็นหัวใจของคนแคนาดาคือความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และการมีความหวัง
.
“เราไม่ได้เชื่อว่าแคนาดาเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก แต่เราเชื่อว่าเรา ‘สามารถ’ เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกได้ เรารู้ว่าภาระหน้าที่ของเรายังไม่สิ้นสุด เราเชื่อว่ายุคทองของเราจะอยู่ข้างหน้า”
.
ไม่ได้ดีที่สุด แต่เชื่อว่าสามารถดีที่สุดได้ และจะไม่หยุดพัฒนา --- มันคือการมองโลกแบบที่มันเป็นจริงๆ โดยไม่หลอกตัวเอง มองเห็นพื้นที่ที่ยังต้องปรับปรุงพัฒนา และมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเสมอสำหรับการมีความหวัง
.
สิ่งที่ Justin Trudeau บอกว่าคนรุ่นใหม่มีอยู่ในตัวอยู่แล้วนั้น เขาไม่เพียงแต่เชื่อว่ามันเพียงพอที่จะนำทางพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ แต่จะพาพวกเขาไปสู่ความสุขด้วย
.
ตลอดสุนทรพจน์ของ Justin Trudeau ไม่มีการ “ฉอด” คนรุ่นใหม่สักคำ ไม่มีการมาชี้นิ้วสั่งสอน ไม่มีการดิสเครดิต ไม่มีการดูหมิ่นเหยียดหยามในฐานะผู้มาทีหลัง ไม่มีการตีตราตัดสินให้คนฟังรู้สึกไร้ค่า
.
คำพูดของ Justin Trudeau มีแต่การชื่นชมสิ่งที่คนรุ่นใหม่ทำ ยกย่องความเคลื่อนไหวที่คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้อง และยังให้ความเชื่อมั่นว่าคุณค่าที่พวกเขามีอยู่ในตัวจะเป็นต้นทุนสำคัญให้พวกเขาได้นำไปใช้แก้ปัญหาอื่นๆ ในอนาคตและนำทางพวกเขาไปสู่ทั้ง “ความสำเร็จ” และ “ความสุข” ในคนเดียวกัน
.
เขาใช้โอกาสนี้ในการมอบพลังให้คนรุ่นใหม่ มากกว่าจะทำลายพลังคนรุ่นใหม่ให้ราบคาบ เพราะเขาเชื่อ...เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ว่าเราสร้างคนแบบไหนขึ้นมาดูแลโลกต่อ
.
สร้างคนรุ่นใหม่ที่ไร้ค่า หรือสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณค่า
.
มอบพลัง หรือพังทลาย
.
ประโยคสุดท้าย Justin Trudeau ทวนคำพูดที่เขาเคยเกริ่นไว้ก่อนหน้าอีกครั้ง...
.
“ไม่มีนักเรียนคนไหนมีโอกาสได้เลือกว่าเขาจะเรียนจบไปแล้วเจอโลกแบบไหน…แต่พวกคุณเลือกได้ว่าอยากมีโลกแบบไหนที่เป็นร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่ของคุณ”
.
สุนทรพจน์นี้แด่คนรุ่นใหม่ทุกคนครับ
.
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

ดูสุนทรพจน์ของ Justin Trudeau ได้ที่ : https://youtu.be/uK7NhbxDA-M


ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

https://www.facebook.com/toffybradshawwriter/photos/a.1384127015219632/1942792019353126/?type=3&theater