วันเสาร์, มิถุนายน 27, 2563

ข่าวดี พาณิชย์ตื่นแล้ว สู้เวียดนามไม่ได้ ข่าวร้าย (เฟคนิวส์) ไทยแก้โควิดอันดับ ๑


ข่าวดีวันนี้ พาณิชย์ไทย ตื่นแล้ว หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์นะจังงังแห่งอำนาจ คสช.มา ๕-๖ ปี เพิ่งตระหนักว่าเวียดนามแซงหน้าไปหลายขุม เกือบทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ ไม่เพียงการผลิตและส่งออกข้าว ที่ครึ่งปีหลัง ๒๕๖๓ นี้เป็นอันดับสองของโลก

หลังจากเมื่อปีก่อนเวียดนามยังไล่หลังไทยและอินเดีย (อันดับ ๑) แม้นว่าอินโดนีเซียจะผลิตมากสุดแต่ก็ใช้ภายในประเทศ ไมได้ส่งออกมากเหมือนอินเดีย (ที่ข้าว บ้าสมาติ นิยมบริโภคมากในหมู่ชนเชื้ออาหรับในตะวันออกกลางและปาเลสไตน์)

มาถึงวันที่รัฐมนตรีพาณิชย์จากพรรคประชาธิปัตย์ (ที่กำลังพบปัญหาความอยู่รอดของพรรค จากการเข้าร่วมรัฐบาลกับเผด็จการทหาร เป็นลิ่วล้อเรียกใช้ เบื่อเมื่อไรก็เขี่ยทิ้ง) งุบงิบยอมรับว่าอ่อนน้ำยา ด้วยการประกาศศักดาที่ต้องพิสูจน์

“จัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย ๒๕๖๓-๒๕๖๗ เป็นระยะเวลา ๕ ปี” เรียกว่า “ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต” เพื่อให้ประเทศไทยได้ลืมตาอ้าปาก กลับมาเป็นผู้ส่งออกและผลิตข้าว คุณภาพของโลก โดยเน้นเรื่องเมล็ดพันธุ์ อันจะเข้าทาง ซีพี(และ CPTPP) รึเปล่าไม่รู้

อีกอย่างเป็นเรื่องต้นทุนการผลิต แหล่งน้ำ และพื้นที่เพาะปลูก “ภาครัฐต้องแก้ปัญหากฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้ไทยสามารถผลิตข้าวคุณภาพแข่งขันในตลาดโลกได้ ทั้งนี้ต้องจัดทำให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓”

และดูเหมือนจะเน้น “ปลูกพันธุ์ข้าวพื้นนุ่ม” เพื่อไปแข่งกับเวียดนามที่แซงหน้าในตลาดข้าวขาว ๕% ของไทย ตัวเลขส่งออกข้าวเมื่อต้นปีนี้ อินเดีย ๕.๕ ล้านตัน เวียดนาม ๓.๓-๓.๔ ล้านตัน ขณะที่ไทยได้เพียง ๓ ล้านตันถ้วน


นั่นเป็นข่าวดีเพราะอย่างน้อยๆ ยังรู้สึกตัว แต่ข่าวร้ายนี่สิอาจจะหนัก เมื่อมีคุณหมอสมองสลิ่มกระหือรือจะเชียร์รัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียจนไม่รั้งรอตราจทานข่าวสารข้อมูลให้ดีก่อน โฆษณาชวนเชื่อ ว่าไทยเป็นที่ ๑ ป้องกันโควิด-๑๙ ดีเยี่ยม
 
แม้นว่าผลแห่งการรับมือโควิดของไทยจัดว่ามีประสิทธิภาพมาก เนื่องจากการระบาดไม่ขยายวงมากหรือว่าการตรวจหาเชื้อมีไม่มากก็สุดแท้แต่ การอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยจอห์นฮ้อปกิ้นส์อย่างผิดๆ โดย นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ นี่เป็นความเลวร้อยอย่างยิ่ง

ทั้งที่หัวข่าวบอกว่า “The best countries to start a business.” หลังจากที่วิกฤตโควิดผ่อนคลาย ดังที่ชาวบ้านไซเบอร์ผู้หนึ่งอุตส่าห์เบิ่งเนตรหมอประกิต ชี้ข้อเท็จจริงสามอย่างเกี่ยวกับข่าวจาก ยูเอสนิวส์ คือ หนึ่งนอกจากไม่เกี่ยวโควิด

แล้วยัง “ไม่มีตรงไหนบอกว่าเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจอห์นฮ้อปกิ้นส์” และข้อสาม “ถึงจะเป็นโพลเกี่ยวกับประเทศที่ดี สำหรับการเริ่มธุรกิจ แต่ไม่มีตรงไหนบอกว่าเลื่อนจากที่ ๖ มาเป็นที่ ๑ ครับ” ถึงอย่างนั้นข้อสำคัญอยู่ที่จะทัดทานระลอกสองไหวไหม ถ้ามันมา

และสำคัญกว่านั้น จะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไรในสภาพที่เศรษฐกิจบักโกรกมาแล้วหลายปี โดยเฉพาะกับระดับรากหญ้า ทั้งทางธุรกิจและผู้บริโภค โดยในส่วนของประชาธิปัตย์ซึ่งหัวหน้าพรรคเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ จะทำให้หัวหน้าใหญ่ไว้เนื้อเชื่อมืออีกต่อไปไหม

ต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ เพราะทุกคนรู้หากพรรคไม่ปรับตัวเพื่อหนีตาย ก็จะตายกันหมด” เป็นลักษณะของความ ด้อยในประสิทธิภาพแบบ น้ำใต้ศอกต่อบรรดา กปปส.สนมเอกที่เขาร่วมหัวจมท้ายกันมาแต่ครั้งเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ
 
สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง ฉายาเดิม หมากระเป๋าได้ช่องส่งเสียงดังตามธรรมชาติของชิวาวาอีกครั้ง เมื่อได้ไปร่วมแถลงข่าวกับนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ในปัญหาวิกฤตด้าน กระแส-บุคคล และผู้นำโดยไม่ต้องเจาะจงว่าใคร

ภาคใต้เป็นพื้นที่กำลังหลักของพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ๒๐ ปี แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง” สาทิตย์พยายามพูดอ้อมค้อมไปว่า “ผู้นำทัพมีส่วนสำคัญ” ถ้าไม่ “ปล่อยฟรีสไตล์ มีจอมยุทธ์กันมาก...จะทำให้พรรคดีขึ้น”


ที่จริงก็ไม่ได้ ฟรีสไตล์ อะไรนักหรอก เพียงแต่ว่า กึ๋นไม่แน่นพอแสดงให้หัวหน้าใหญ่เห็นว่าจะช่วยกันกู้หน้าได้ แล้วยังมีการช่วงชิงทั้งภายในบ้านและก๊กก๊วนรอบข้าง ลำพังนิพิฎฐ์ หรือกระทั่ง เทพไท เสนพงษ์ ว่าชั้นเชิงเพียบแล้วยังเทียบไม่ติด เขี้ยวๆ ใน พปชร.