ข่าวดีวันนี้ พาณิชย์ไทย ‘ตื่นแล้ว’ หลังจากที่ตกอยู่ในภวังค์นะจังงังแห่งอำนาจ
คสช.มา ๕-๖ ปี เพิ่งตระหนักว่าเวียดนามแซงหน้าไปหลายขุม เกือบทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ
ไม่เพียงการผลิตและส่งออกข้าว ที่ครึ่งปีหลัง ๒๕๖๓ นี้เป็นอันดับสองของโลก
หลังจากเมื่อปีก่อนเวียดนามยังไล่หลังไทยและอินเดีย
(อันดับ ๑) แม้นว่าอินโดนีเซียจะผลิตมากสุดแต่ก็ใช้ภายในประเทศ ไมได้ส่งออกมากเหมือนอินเดีย
(ที่ข้าว ‘บ้าสมาติ’
นิยมบริโภคมากในหมู่ชนเชื้ออาหรับในตะวันออกกลางและปาเลสไตน์)
มาถึงวันที่รัฐมนตรีพาณิชย์จากพรรคประชาธิปัตย์
(ที่กำลังพบปัญหาความอยู่รอดของพรรค จากการเข้าร่วมรัฐบาลกับเผด็จการทหาร
เป็นลิ่วล้อเรียกใช้ เบื่อเมื่อไรก็เขี่ยทิ้ง) งุบงิบยอมรับว่าอ่อนน้ำยา
ด้วยการประกาศศักดาที่ต้องพิสูจน์
“จัดทำยุทธศาสตร์ข้าวไทย ๒๕๖๓-๒๕๖๗ เป็นระยะเวลา ๕ ปี” เรียกว่า “ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต”
เพื่อให้ประเทศไทยได้ลืมตาอ้าปาก กลับมาเป็นผู้ส่งออกและผลิตข้าว ‘คุณภาพ’ ของโลก โดยเน้นเรื่องเมล็ดพันธุ์ อันจะเข้าทาง
‘ซีพี’ (และ CPTPP) รึเปล่าไม่รู้
อีกอย่างเป็นเรื่องต้นทุนการผลิต แหล่งน้ำ
และพื้นที่เพาะปลูก “ภาครัฐต้องแก้ปัญหากฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค
เพื่อให้ไทยสามารถผลิตข้าวคุณภาพแข่งขันในตลาดโลกได้ ทั้งนี้ต้องจัดทำให้เสร็จภายในเดือนสิงหาคม
๒๕๖๓”
และดูเหมือนจะเน้น “ปลูกพันธุ์ข้าวพื้นนุ่ม”
เพื่อไปแข่งกับเวียดนามที่แซงหน้าในตลาดข้าวขาว ๕% ของไทย
ตัวเลขส่งออกข้าวเมื่อต้นปีนี้ อินเดีย ๕.๕ ล้านตัน เวียดนาม ๓.๓-๓.๔ ล้านตัน
ขณะที่ไทยได้เพียง ๓ ล้านตันถ้วน
นั่นเป็นข่าวดีเพราะอย่างน้อยๆ
ยังรู้สึกตัว แต่ข่าวร้ายนี่สิอาจจะหนัก
เมื่อมีคุณหมอสมองสลิ่มกระหือรือจะเชียร์รัฐบาลสืบทอดอำนาจเสียจนไม่รั้งรอตราจทานข่าวสารข้อมูลให้ดีก่อน
โฆษณาชวนเชื่อ ว่าไทยเป็นที่ ๑ ป้องกันโควิด-๑๙ ดีเยี่ยม
แม้นว่าผลแห่งการรับมือโควิดของไทยจัดว่ามีประสิทธิภาพมาก
เนื่องจากการระบาดไม่ขยายวงมากหรือว่าการตรวจหาเชื้อมีไม่มากก็สุดแท้แต่
การอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยจอห์นฮ้อปกิ้นส์อย่างผิดๆ โดย นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ
นี่เป็นความเลวร้อยอย่างยิ่ง
ทั้งที่หัวข่าวบอกว่า “The
best countries to start a business.” หลังจากที่วิกฤตโควิดผ่อนคลาย
ดังที่ชาวบ้านไซเบอร์ผู้หนึ่งอุตส่าห์เบิ่งเนตรหมอประกิต ชี้ข้อเท็จจริงสามอย่างเกี่ยวกับข่าวจาก
‘ยูเอสนิวส์’ คือ หนึ่งนอกจากไม่เกี่ยวโควิด
แล้วยัง “ไม่มีตรงไหนบอกว่าเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจอห์นฮ้อปกิ้นส์”
และข้อสาม “ถึงจะเป็นโพลเกี่ยวกับประเทศที่ดี สำหรับการเริ่มธุรกิจ
แต่ไม่มีตรงไหนบอกว่าเลื่อนจากที่ ๖ มาเป็นที่ ๑ ครับ” ถึงอย่างนั้นข้อสำคัญอยู่ที่จะทัดทานระลอกสองไหวไหม
ถ้ามันมา
และสำคัญกว่านั้น จะยืนหยัดต่อไปได้อย่างไรในสภาพที่เศรษฐกิจบักโกรกมาแล้วหลายปี
โดยเฉพาะกับระดับรากหญ้า ทั้งทางธุรกิจและผู้บริโภค โดยในส่วนของประชาธิปัตย์ซึ่งหัวหน้าพรรคเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์
จะทำให้หัวหน้าใหญ่ไว้เนื้อเชื่อมืออีกต่อไปไหม
“ต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่
เพราะทุกคนรู้หากพรรคไม่ปรับตัวเพื่อหนีตาย ก็จะตายกันหมด” เป็นลักษณะของความ ‘ด้อย’ ในประสิทธิภาพแบบ ‘น้ำใต้ศอก’ ต่อบรรดา
‘กปปส.’สนมเอกที่เขาร่วมหัวจมท้ายกันมาแต่ครั้งเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ
สาทิตย์
วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง ฉายาเดิม ‘หมากระเป๋า’ ได้ช่องส่งเสียงดังตามธรรมชาติของชิวาวาอีกครั้ง
เมื่อได้ไปร่วมแถลงข่าวกับนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ในปัญหาวิกฤตด้าน ‘กระแส-บุคคล และผู้นำ’ โดยไม่ต้องเจาะจงว่าใคร
“ภาคใต้เป็นพื้นที่กำลังหลักของพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ๒๐ ปี
แต่ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง”
สาทิตย์พยายามพูดอ้อมค้อมไปว่า “ผู้นำทัพมีส่วนสำคัญ” ถ้าไม่ “ปล่อยฟรีสไตล์
มีจอมยุทธ์กันมาก...จะทำให้พรรคดีขึ้น”
ที่จริงก็ไม่ได้ ‘ฟรีสไตล์’ อะไรนักหรอก เพียงแต่ว่า ‘กึ๋น’ ไม่แน่นพอแสดงให้หัวหน้าใหญ่เห็นว่าจะช่วยกันกู้หน้าได้
แล้วยังมีการช่วงชิงทั้งภายในบ้านและก๊กก๊วนรอบข้าง ลำพังนิพิฎฐ์ หรือกระทั่ง
เทพไท เสนพงษ์ ว่าชั้นเชิงเพียบแล้วยังเทียบไม่ติด ‘เขี้ยวๆ’ ใน พปชร.