วันอังคาร, มิถุนายน 30, 2563

เมื่อมดตัวน้อยมีพลัง... พลังประชาธิปไตยสากล คนเท่ากัน




พลังประชาธิปไตยสากล คนเท่ากัน เลือกตั้งทุกระดับ ในวันนี้ คือพลังของประชาชนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ กรณีณอน ยิ่งชี้ชัดเจน

วันนี้ เรากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองของพลังประชาชนกลุ่มต่างๆ ในไทย

งานศึกษาวิชาการ โดยเฉพาะด้านรัฐศาสตร์ สิ่งซึ่งต้องการเข้าใจอย่างมากคือสภาพดำรงอยู่ของสังคมการเมืองของปัจจุบัน และมองอนาคตของสังคมการเมืองนั้น ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างน้อย (เพื่อจะได้ไม่ต้องถอยกลับยาวไปที่ 50 ปี และ 6 ตุลา 2519) พลังของประชาชนที่สนับสนุนการเมืองประชาธิปไตยสากล คนเท่ากัน เลือกตั้งทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติเลือกตั้งได้นายกรัฐมนตรี ลงไปถึงระดับเทศบาล เลือกตั้งได้นายกเทศมนตรี และระดับตำบลเลือกตั้งได้ นายก อบต. ได้เป็นพลังสังคมการเมืองที่มีมวลพลังเพิ่มปริมาณมากขึ้นตลอดเวลา

แต่พลังประชาชนที่สนับสนุนประชาธิปไตยสากลนี้ ถูกทำให้เชื่อว่า พวกเขาเป็นพลังส่วนน้อย และอ่อนแอ มีเพียงเสียงกาบัตรเลือกตั้งคนละหนึ่งเสียง นอกจากนั้น ในชีวิตต้องหมอบสยบยอมตลอดเวลา ไม่กล้ามีปากเสียงนัก ยกเว้นต่อสู้คัดค้านด้านสภาพแวดล้อมด้านธรรมชาติด้านเกษตรและเรื่องทำมากินแบบปลาเล็กปลาน้อยในถิ่นของพวกตนเองเท่านั้น ที่เหลือต้องรอคอยความเมตตากรุณาปราณีจากอำนาจรัฐทหารราชการไทย

ปรากฏการณ์ไล่ให้คนพวกนั้นไปอยู่ประเทศอื่น แผ่นดินอื่น ของผู้มีอำนาจในรัฐทหาร ของชนชั้นนำในรัฐทหาร ของสื่อบางค่าย ของดาราบางคน ที่ออกเสียงไล่คนไทยบางคน จนได้รับเสียงเฮ เสียงฮา เป็นเสมือนดาราฮีโร่นำที่ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์

ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยสากลคนเท่ากัน เรียกการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ "ล่าแม่มด" แบบฝรั่งยุคโบราณ

การล่าแม่มดมีเสียงดังได้ เพราะการสื่อสารของประเทศมันรวมศูนย์และทางเดียว พวกเขาสามารถพูดบนเวทีการแสดงครั้งเดียว แต่สามารถส่งเสียงดังสะท้อนก้องได้ทั้งประเทศ พร้อมพาดหัวตัวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ และเรื่องเล่าขานที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้น ถึงความกล้าหาญปานฮีโร่

แต่การณ์กลับตาลปัตรเมื่อมาถึงวันนี้ แม้ว่าอำนาจรัฐจะยังอยู่ในมือของรัฐทหารเช่นเดิม

ประการแรก เมื่อมดตัวน้อยรวมตัวเป็นพลัง : ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยสากลคนเท่ากัน ที่เคยเชื่อว่าพวกตนเป็นเพียงคนจำนวนน้อย เป็นคนตัวเล็กๆ ไม่มีพลังที่จะสร้างเสียงแห่งความเชื่อมั่นศรัทธาในตนเองได้ พวกเขาพบว่า พวกเขามีชุมชนขนาดใหญ่มากๆ ของพวกตนเอง พวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวหรือกับเพื่อนไม่กี่คน ดังนั้น พวกเขากำลังโต้ตอบฝ่ายล่าแม่มดในหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยวิธีการเดียวกันในแบบออนไลน์ ซึ่งพวกเขาเริ่มค้นพบว่า มันทำงาน มันเป็นไปได้ และมันทำให้ความกลัวของพวกเขาลดน้อยลงทุกขณะ

ประการที่สอง ใครคือประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของสังคมไทยกันแน่? ระหว่างฝ่ายสนับสนุนรัฐทหารรัฐประหารวัฒนธรรมระบอบเก่าคนไม่เท่ากัน กับ ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยสากลคนเท่ากัน :

ข้อมูลชี้ว่า ฝ่ายประชาชนผู้สนับสนุนประชาธิปไตยสากลคนเท่ากันเป็นพลังจำนวนมากที่สุด ยึดมั่นแน่นเหนียวที่สุด และไม่เปลี่ยนแปลงเจตจำนงอุดมการณ์เพื่อร่วมสร้างอนาคตของชาติไทย อย่างน้อยที่สุดก็ 10.6 ล้านคน (สิบล้านหกแสนคน) ที่มีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป

ตัวเลขนี้มาจากการลงประชามติในรัฐธรรมนูญรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง

ประชามติรัฐธรรมนูญรัฐประหารฉบับปี 2550 และฉบับปี 2560 ไม่มีสิ่งซึ่งจะสร้างความจดจำให้สังคมได้เลยว่า เป็นประชามติ เพราะอยู่ใต้อำนาจรัฐประหารและห้ามการคัดค้านรณรงค์ต่อต้าน ทั้งยังถูกจับกุมคุมขัง เป็นการสร้างประชามติรัฐธรรมนูญ "เพื่อพวกเขา" ชาวรัฐประหารเท่านั้น เพื่อใช้อ้างคำเดียวว่า รัฐธรรมนูญนี้มาจากประชามติ ซึ่งฉบับปี 2550 ของรัฐทหาร ก็ถูกฉีกทิ้งโดยรัฐประหารของพวกเขากันเอง หาได้ศักดิ์สิทธิ์สำคัญอย่างแท้จริงไม่

คะแนนเสียงไม่รับรัฐธรรมนูญรัฐประหารฉบับปี 2550 มีถึง 10.74 ล้านคน (มีสิทธิตั้งแต่อายุ 18 ปี 45.09 ล้านคน, มาออกเสียง 25.47 ล้านคน ลงรับ 14.72 ล้านคน ไม่มา 19.12 ล้านคน ถูกนับบัตรเสีย 5 แสน)

คะแนนเสียงไม่รับรัฐธรรมนูญรัฐประหารฉบับปี 2560 มีถึง 10.59 ล้านคน ข้อที่ 2 มีถึง 10.92 ล้านคน (มีสิทธิตั้งแต่อายุ 18 ปี 50.07 ล้านคน, มาออกเสียง 29.74 ล้านคน ลงรับ 16.82 ล้านคน ไม่มา 20.33 ล้านคน ถูกนับบัตรเสีย 9 แสนสามหมื่นคน )

คะแนนเสียงไม่รับรัฐธรรมนูญรัฐประหารที่มีระยะห่างกันกันถึง 10 ปี แต่ยังคงระดับเดิม คือ 10.6 ล้านคนเป็นอย่างน้อย สะท้อนถึงปริมาณที่มากอย่างยิ่งที่ไม่เอากับรัฐประหารระบอบเก่า

ทว่า ที่ผ่านมา พวกเขาเหล่านี้ถูกทำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพวกชนส่วนน้อย แต่ที่จริง พวกเขาเหล่านี้คือชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ จนไม่อาจสร้างสำนึกในพลังรวมหมู่ของพวกตนได้ ทำให้เชื่อว่าพวกตนคือผีเสื้อปีกบางในป่ารัฐทหาร

ประการที่สาม เมื่อสื่อกระแสหลักอ่อนระทวย สื่อสังคมออนไลน์ผงาด การโจมตีกลับของฝ่ายประชาธิปไตยสากลคนเท่ากัน

เพิ่งสิบปีมานี้เอง หรือเฉพาะเจาะจงก็ 5 ปีที่ผ่านมา สื่อทีวี วิทยุ กระแสหลักที่อยู่ภายใต้บัญชาการรัฐทหารมาตลอด 7-8 ทศวรรษ ฉับพลันนั้น คนเป็นล้านๆ ก็หลุดออกจากเครือข่ายอำนาจนำของสื่อกลุ่มนี้ แม้แต่ดารากระแสหลัก ยังถูกเมิน เพราะคนจำนวนมากมี youtuber ของกลุ่มตนเอง มีฮีโร่ทวิตเตอร์ของกลุ่มตนเอง แม้แต่ฝ่ายที่เคยไล่ล่าแม่มด ก็แตกกระจายกลายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ไม่มีปากลำโพงขยายเสียงแบบเดิมๆ อีกต่อไป

คอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ที่เคยมีสถานะเป็นพญาเป็นเจ้าพ่อ เพียงตวัดถ้อยคำไม่กี่ครั้งก็สังหารทำร้ายเหยื่อได้ ต่างมีเสียงลดเบาลงๆ ทุกขณะ พอๆ กับพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ การขาดทุน การลดขนาด การเปลี่ยนแพลทฟอร์มการสื่อสารของสื่อทีวีวิทยุหนังสือพิมพ์ที่เคยรวมศูนย์ใต้กำกับของรัฐทหาร คือภาวะกลืนกินของเสียงกัมปนาทของอดีตเหล่าผู้เคยโห่ร้องล่าแม่มดให้เริ่มร่ำไห้

แต่เหล่าผีเสื้อในป่า กลับกลายเป็นเหล่าฝูงมดแดงที่สร้างรังใหญ่โตของตนเอง เป็นเหล่าผึ้งเหล่าต่อที่พร้อมต่อยคู่ต่อสู้ และอาจกลายเป็นฝูงตั๊กแตนที่โจมตีผืนนาอันมีอาหารอุดมอย่างฉับพลันและดุร้าย

วันนี้ เรากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงของพลังประชาชนของกลุ่มต่างๆ ในสังคมการเมืองไทย

แน่นอน มันไม่เหมือนเดิมแล้ว

ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่า ทุกๆ ฝ่าย จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นคนเท่ากันของทุกคน รักษาจิตใจของแก่นหลักสิทธิมนุษยชนให้ถึงที่สุด

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
นักวิชาการอิสระ

ขอบคุณภาพจากทีมมติชนทีวี