วันอาทิตย์, มิถุนายน 28, 2563

มุมมอง "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" 88 ปีประชาธิปไตยไทย แม้มืดมิดแต่มีเสียงอื้ออึง! : Matichon TV คลิปเต็ม




มุมมอง "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" 88 ปีประชาธิปไตยไทย แม้มืดมิดแต่มีเสียงอื้ออึง! : Matichon TV

Premiered Jun 24, 2020

matichon tv

"The Politics 88 ปี ประชาธิปไตยไทย" ตอนที่ 3 สนทนากับ ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แห่งคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย กับความล้มเหลวในการสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญและทางแพร่งของนักกฎหมายสองสำนัก พร้อมการตั้งข้อสังเกตถึงอนาคตที่คล้ายจะมืดมิด ทว่ากลับเริ่มมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นเรื่อยๆ
...



24 มิถุนายน 2563 รายการ "The Politics 88 ปี ประชาธิปไตยไทย" ได้ถ่ายทอดการสนทนากับศาสตราจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ https://www.youtube.com/watch?v=b2rXPVSyNfQ เนื่องในโอกาสครบรอบ 88 ปีประชาธิปไตยไทย โดยบทสนทนามุ่งเน้นไปถึงหลักนิติรัฐที่วางรากฐานมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แนวคิดทางกฎหมาย และประชาธิปไตยในประเทศไทย

.
ภาพฝันการเป็น ‘นิติรัฐ’ ของคณะราษฎรที่ยังไปไม่ถึง

วรเจตน์ อธิบายว่า หลักนิติรัฐได้แทรกซึมอยู่ในหลักหกประการของคณะราษฎร ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการปกครองโดยกฎหมายที่เป็นธรรม แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน แม้ว่าจะไม่ได้ถูกบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญก็ตาม ทว่าในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่สัญลักษณ์ของคณะราษฎรเท่านั้นที่ถูกทำให้จางหาย แต่จุดมุ่งหมายแห่งการเป็น ‘นิติรัฐ’ ของคณะราษฎรก็ยังมิได้เป็นไปตามที่คาดหมายไว้

วรเจตน์มองว่า อุดมการณ์ของคณะราษฎรดำรงอยู่อย่างเข้มข้นเพียงแค่ 15 ปี กล่าวคือ พ.ศ. 2475-2490 และในปี 2490 นับเป็นจุดพลิกผันบางอย่างที่ยังส่งผลมาถึงสังคมไทยในปัจจุบัน การต่อสู้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายการเป็นนิติรัฐจึงไม่ได้จบเมื่อปี 2475 แต่ยังดำเนินต่อมา จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่จบสิ้น

.
เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ‘การปกครอง’ แต่ไม่เปลี่ยนแปลงองค์กร ‘ตุลาการ’

ในทัศนะของวรเจตน์ รัฐธรรมนูญ 2489 (ฉบับที่สาม) https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=424935&ext=pdf เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด แต่มีผลบังคับใช้เพียงปีเศษเท่านั้น ภายหลังเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่แปด บ้านเมืองระส่ำระสาย มีการรัฐประหารในปี 2490 ก่อตั้งระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ และเข้าสู่ทิศทางเช่นนี้เรื่อยมา

รัฐธรรมนูญ 2540 แม้ว่า จะมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีปัญหาในการจัดโครงสร้างบางอย่าง วรเจตน์มองว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังไม่สามารถทำให้หลักการแบ่งแยกอำนาจนั้นสมบูรณ์ได้ การมีส่วนร่วมของประชาชนยังไม่ถึงระดับที่ควรจะเป็น เมื่อครั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มุ่งเน้นไปที่การปรับโฉมหน้าฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ทว่ากลับละเลยการปฏิรูป ‘ตุลาการ’ หลักวิธีคิดของตุลาการตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองยังคงใช้สืบต่อมา และมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

.
นักกฎหมาย ผู้เล่นสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ‘แบบไทยๆ’

ในมุมมองของวรเจตน์ “อุดมการณ์กำกับการตีความกฎหมาย” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพิจารณาถึงอุดมการณ์ของนักกฎหมายอันส่งผลต่อกฎหมายในประเทศไทย เขาได้หยิบยกคำอธิบายของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณัฐพล ใจจริง นักประวัติศาสตร์ที่อธิบายวิธีคิดของนักกฎหมายซึ่งมีอยู่สองประเภท ประเภทที่หนึ่ง คือ นักกฎหมายรัฐธรรมนูญนิยม ประเภทที่สอง คือ นักกฎหมายจารีตนิยม

นักกฎหมายรัฐธรรมนูญนิยม ซึ่งยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐแบบอารยประเทศมีอิทธิพลเพียงช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเท่านั้น โดยช่วงแรกมีความพยายามจะประนีประนอมกับทุกฝ่ายให้มากที่สุด เช่น การยินยอมให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเติมคำว่า 'ชั่วคราว' ในรัฐธรรมนูญฉบับแรก https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=424925&ext=pdf และทำความตกลงร่วมกันกับสถาบันกษัตริย์ในรัฐธรรมนูญฉบับที่สอง https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=424927&ext=pdf เพื่อประนีประนอมกับทุกฝ่ายให้มากที่สุด

ต่อมาในปี 2489 นักกฎหมายที่มีแนวคิดนี้ได้มีบทบาทมากยิ่งขึ้น ผลักดันให้เกิดระบบสองสภาที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ 2489 ได้แก่สภาผู้แทนราษฎร และพฤฒสภา ซึ่งมีลักษณะเป็นสภาสูงอันอาจเทียบได้กับวุฒิสภาในปัจจุบันทั้งสองสภามาจากการเลือกตั้งทั้งคู่ สภาหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง สภาหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ต่อมาระบบดังกล่าวได้ถูกทำลายลงในการรัฐประหาร 2490 และกำเนิดวุฒิสภาซึ่งมาจากการ 'แต่งตั้ง' เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) 2490 https://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=424937&ext=pdf

นักกฎหมายจารีตนิยม ซึ่งเป็นฝ่ายที่มีบทบาทนำในสังคมไทย มีแนวคิดในการปรับหลักคิดทางสากลให้เข้ากับบริบท ‘แบบไทย’ นักกฎหมายฝ่ายนี้บางส่วนไปทำงานให้กับผู้ถืออำนาจหรือที่เรียกว่า ‘เนติบริกร’ โดยอาจจะคำนึงถึงหลักการบางอย่างน้อยลง และมีชุดความคิดบางอย่างในการกำหนดกฎหมายหรืออธิบายกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ‘ในสถานการณ์ฉุกเฉิน’ ช่วงที่มีการรัฐประหารหรือในการบริหารของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

ในความคิดเห็นของวรเจตน์ การนำคุณค่าแบบไทยเข้าไปสวมใส่ในคุณค่าสากล เท่ากับเป็นการปฏิเสธสิ่งนั้น เช่น "ความยุติธรรมแบบไทย ก็คือความอยุติธรรม" "ประชาธิปไตยแบบไทย ก็คือไม่ใช่ประชาธิปไตย" "นิติรัฐแบบไทย ก็คือไม่ใช่นิติรัฐ"

และวรเจตน์ยังได้ทิ้งท้ายถึงอนาคตของประชาธิปไตยไทยว่า "ยังคงมืดดุจรัตติกาลมากขึ้นกว่ากาลก่อน แต่ก็มีความอื้ออึงมากขึ้น" การกดทับยังทำไม่ได้สนิท เพียงแต่ว่าแสงยังไม่มาถึง เมื่อเสียงอื้ออึงเพิ่มมากขึ้น แสงก็อาจจะมา