เอ้า เขาเปิดประเทศ ‘เฟส ๕’ แล้วนะ รอรับนักท่องเที่ยว (จีน)
เข้ามาช่วยแก้เศรษฐกิจ ที่โดน คสช.ขวิดมา ๕-๖ ปี แล้วโควิด-๑๙ ซ้ำ แต่ก็ยังต้องใช้
พรก.ฉุกเฉินถึงสิ้นกรกฎา ๖๓ เพราะล่อแหลม และมั่นใจอำนาจเบ็ดเสร็จฉบับเดียวนี้เฮี้ยนกว่า
กม.ปกติ ๕ ฉบับ
คำว่า ‘เฮี้ยน’ เนี่ยกินความตามอักษรว่ามันทำให้ขลัง “ต้องมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจ”
ให้กับพวกนักยึดอำนาจที่ดัดจะเป็นนักบริหารประเทศไม่สำเร็จเสียที “ประเทศเราดีแต่กังวลเรื่องการระบาดรอบสอง
หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทุ่มเทมาจะสูญเปล่า”
ไม่รู้ว่าทุ่มเทอะไรนักหนา
รู้แต่ว่าทุ่มใช้เงินอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ก่อนโควิดมาแล้วหลายปี ไม่ได้เป็นที่โควิดอย่างเดียว
แต่นี่ทั้งที่อ้างผ่านมา ๓๑ วันแล้วไม่ปรากฏไทยติดโควิดเพิ่มเลย
(ต่างชาติติดในไทยไม่นับ) จึงได้เปิดเฟส ๕
“มาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของชาวต่างชาติ”
เริ่มที่ ๑ กรกฎานี้ยินดีต้อนรับ นักธุรกิจ ลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ และแรงงานฝีมือ
เข้าสู่ กทม. ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย
ส่วนอีกกลุ่มยังไม่อนุมัติแต่รอนิดอาจเปิดทัน ๑ ก.ค.เช่นกัน
พวกสองนี่เป็นนักธุรกิจระยะสั้น
และแขกรัฐบาลซึ่งเมื่อเข้ามาต้องรับการตรวจว่าปลอดเชื้อ ย้อนไปถึงประเทศต้นทางด้วย
อีกกลุ่มที่หวังเป็นรายได้หลักคือพวก ‘travel bubble’ ต้องเตรียมการรองรับ เช่นจัดที่พักกักตัวในวิลลา ถ้าเริ่มได้ก็ ๑ สิงหา
แต่กระนั้นฝ่ายแพทย์ผู้ชำนัญระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์
จุฬาฯ รีบเตือนให้ระวัง ๑ กรกฎา ปลดล็อคกิจการเสี่ยงอย่างผับ บาร์ และคาราโอเกะ แต่ว่า
“จะเป็นวันที่โรงเรียนเปิดเทอมเช่นเดียวกัน” พึงตระหนักระยะฟักตัวติดเชื้อเฉลี่ย
๔.๕ วัน
“คนติดเชื้อจะมีไวรัสสูงใน ๗ วันแรก
และสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ช่วงก่อนมีอาการ” ดังนี้ต้นกรกฎา ๔-๗ ก.ค.วันหยุด
เป็นช่วงอันตราย “หากคนที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว แล้วไปท่องเที่ยวโดยไม่ป้องกัน”
แนะนำให้ระวัง “ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ...เลี่ยงที่อโคจร”
(https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_4376172, https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1383526/
และ https://www.thairath.co.th/news/local/1876560)
แต่สำหรับประชากรในประเทศ
ไม่ว่าเฟสห้าหรือหกก็ไม่มีวี่แววว่าสถานะความเป็นอยู่ รวมถึงข้อสำคัญ
สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประดุจการกระทำของอั้งยี่มาเฟีย
หน่วยงานความมั่นคงยังทำตัวเป็นหัวไม้ไล่บี้ประชาชน
ไม่ว่ากรณีศิลปินภาพสเต็นซิลบนกำแพงโวยว่ามีนอกเครื่องแบบสี่คนไปเฝ้ารอที่คอนโดถึงหลังเที่ยงคืน
จึงโทรไปยังต้นสังกัด ต่อว่าส่งพนักงานไปคุกคามอย่างนั้น ไม่แต่งเครื่องแบบ
ไม่แจ้งความประสงค์และสังกัด เหมือนพวกโจร
กับเหตุที่ ‘ช่อ’ พรรณิการ์ วานิช จัดทำรายการสัมภาษณ์ อจ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ บนทางเท้าริมถนนราชดำเนิน
เรื่อง “การใช้พื้นที่สาธารณะในเมือง” ระหว่างถ่ายทำมีตำรวจยกโขยงกันไปรายล้อม
แล้วเข้าขัดจังหวะถามโน่นนี่ เป็นใคร ทำอะไร ขอรายละเอียด
ดังว่าคอยจ้องรังควาญบรรดานักกิจกรรมที่รณรงค์เพื่อความยุติธรรม
และเสรีภาพทางประชาธิปไตย ถามว่าใช้กฎหมายอะไรในการเข้าแทรกแซงก่อกวน
เมื่อก่อนอ้างนายสั่งมา เดี๋ยวนี้ผู้ถูกรังควาญรู้แกว ก็มักกล้อมแกล้มตอบตรงๆ
ไม่ได้
แม้กระทั่งด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมและสวัสดิการสังคม
ซึ่งมักเป็นสูตรสำเร็จไว้สร้างปมเขื่องสำหรับเผด็จการทั่วโลก (กลับไปดูข้ออ้าง คสช.
และ รสช. แล้วจะเห็นแจ้ง) กับรัฐบาลนี้พอเปลี่ยนเป็นเผด็จการครึ่งใบ อะไรๆ ก็ชักจะผิดเพี้ยนได้บ่อยๆ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
อาคารไม้สักขนาดใหญ่อายุ ๑๒๗ ปีที่จังหวัดแพร่ถูกทางการรื้อลงเป็นเศษไม้
ลายฉลุหน้าจั่วแบบโบราณกลายเป็นขยะ พอคนโวยวายกันมากจนอึงอื้อ ดันแก้ตัวว่าไอ้ที่รื้อทิ้งลงเป็นกองกับพื้นนั่น
เป็นการซ่อมแซมบูรณะ
เปรียบเทียบกับอาคารไม้ภายในเขตสวนอัมพรที่กำลังอยู่ภายใต้การบูรณะอย่างห้ำหั่น
ภาพถ่ายทางอากาศทั่วบริเวณตั้งแต่สนามเสือป่ายันลานพระรูปฯ ไม่มีอาคารใดๆ
เหลืออยู่ เว้นแต่เครื่องบินโบอิ้งของการบินไทยลำหนึ่งเข้าไปจอดอยู่
แถมเรื่องน่าเศร้าหลุดออกมาจากศูนย์ดำรงธรรม
ว่ามีการยึดบ้านไม้สักที่จังหวัดแพร่ของประชาชนเอาไปขายทอดตลาดในราคาเพียง ๓
หมื่นบาท อ้างว่าเจ้าของบ้านเป็นบิดาของสตรีสาวผู้หนึ่งซึ่งติดหนี้กองทุนเพื่อการศึกษา
กยส. อยู่ ๑๗,๐๐๐ บาท
“กยศ. แม่-กลายเป็นนายทุนหน้าเลือดไปแล้ว” Atukkit Sawangsuk
สับแรงว่านั่นขนาดราคาจริงของบ้านหลังนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ล้าน เป็น “การบังคับคดีโดยไม่แจ้งเจ้าของทรัพย์สิน
มีปัญหาแน่ๆ” และน่าสงสัย “ความโปร่งใส
มุบมิบกันหรือไม่
สมคบกันขายลับหลังหรือเปล่า ในราคาถูกเป็นขี้” เพียงอ้างว่า “มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย
โดยยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันก่อนที่คดีจะขาดอายุความ” นั้นฟังไม่ขึ้น