วันศุกร์, มิถุนายน 26, 2563

ไม่ว่าเฟสห้าหรือหก "หน่วยงานความมั่นคงยังทำตัวเป็นหัวไม้ไล่บี้ประชาชน"

เอ้า เขาเปิดประเทศ เฟส ๕ แล้วนะ รอรับนักท่องเที่ยว (จีน) เข้ามาช่วยแก้เศรษฐกิจ ที่โดน คสช.ขวิดมา ๕-๖ ปี แล้วโควิด-๑๙ ซ้ำ แต่ก็ยังต้องใช้ พรก.ฉุกเฉินถึงสิ้นกรกฎา ๖๓ เพราะล่อแหลม และมั่นใจอำนาจเบ็ดเสร็จฉบับเดียวนี้เฮี้ยนกว่า กม.ปกติ ๕ ฉบับ

คำว่า เฮี้ยน เนี่ยกินความตามอักษรว่ามันทำให้ขลัง “ต้องมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจ” ให้กับพวกนักยึดอำนาจที่ดัดจะเป็นนักบริหารประเทศไม่สำเร็จเสียที “ประเทศเราดีแต่กังวลเรื่องการระบาดรอบสอง หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทุ่มเทมาจะสูญเปล่า”

ไม่รู้ว่าทุ่มเทอะไรนักหนา รู้แต่ว่าทุ่มใช้เงินอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ก่อนโควิดมาแล้วหลายปี ไม่ได้เป็นที่โควิดอย่างเดียว แต่นี่ทั้งที่อ้างผ่านมา ๓๑ วันแล้วไม่ปรากฏไทยติดโควิดเพิ่มเลย (ต่างชาติติดในไทยไม่นับ) จึงได้เปิดเฟส ๕

“มาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของชาวต่างชาติ” เริ่มที่ ๑ กรกฎานี้ยินดีต้อนรับ นักธุรกิจ ลงทุน ผู้เชี่ยวชาญ และแรงงานฝีมือ เข้าสู่ กทม. ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย ส่วนอีกกลุ่มยังไม่อนุมัติแต่รอนิดอาจเปิดทัน ๑ ก.ค.เช่นกัน

พวกสองนี่เป็นนักธุรกิจระยะสั้น และแขกรัฐบาลซึ่งเมื่อเข้ามาต้องรับการตรวจว่าปลอดเชื้อ ย้อนไปถึงประเทศต้นทางด้วย อีกกลุ่มที่หวังเป็นรายได้หลักคือพวก ‘travel bubble’ ต้องเตรียมการรองรับ เช่นจัดที่พักกักตัวในวิลลา ถ้าเริ่มได้ก็ ๑ สิงหา

แต่กระนั้นฝ่ายแพทย์ผู้ชำนัญระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รีบเตือนให้ระวัง ๑ กรกฎา ปลดล็อคกิจการเสี่ยงอย่างผับ บาร์ และคาราโอเกะ แต่ว่า “จะเป็นวันที่โรงเรียนเปิดเทอมเช่นเดียวกัน” พึงตระหนักระยะฟักตัวติดเชื้อเฉลี่ย ๔.๕ วัน

“คนติดเชื้อจะมีไวรัสสูงใน ๗ วันแรก และสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ช่วงก่อนมีอาการ” ดังนี้ต้นกรกฎา ๔-๗ ก.ค.วันหยุด เป็นช่วงอันตราย “หากคนที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว แล้วไปท่องเที่ยวโดยไม่ป้องกัน” แนะนำให้ระวัง “ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ...เลี่ยงที่อโคจร”


แต่สำหรับประชากรในประเทศ ไม่ว่าเฟสห้าหรือหกก็ไม่มีวี่แววว่าสถานะความเป็นอยู่ รวมถึงข้อสำคัญ สิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามประดุจการกระทำของอั้งยี่มาเฟีย หน่วยงานความมั่นคงยังทำตัวเป็นหัวไม้ไล่บี้ประชาชน

ไม่ว่ากรณีศิลปินภาพสเต็นซิลบนกำแพงโวยว่ามีนอกเครื่องแบบสี่คนไปเฝ้ารอที่คอนโดถึงหลังเที่ยงคืน จึงโทรไปยังต้นสังกัด ต่อว่าส่งพนักงานไปคุกคามอย่างนั้น ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่แจ้งความประสงค์และสังกัด เหมือนพวกโจร
 
กับเหตุที่ ช่อ พรรณิการ์ วานิช จัดทำรายการสัมภาษณ์ อจ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ บนทางเท้าริมถนนราชดำเนิน เรื่อง “การใช้พื้นที่สาธารณะในเมือง” ระหว่างถ่ายทำมีตำรวจยกโขยงกันไปรายล้อม แล้วเข้าขัดจังหวะถามโน่นนี่ เป็นใคร ทำอะไร ขอรายละเอียด

ดังว่าคอยจ้องรังควาญบรรดานักกิจกรรมที่รณรงค์เพื่อความยุติธรรม และเสรีภาพทางประชาธิปไตย  ถามว่าใช้กฎหมายอะไรในการเข้าแทรกแซงก่อกวน เมื่อก่อนอ้างนายสั่งมา เดี๋ยวนี้ผู้ถูกรังควาญรู้แกว ก็มักกล้อมแกล้มตอบตรงๆ ไม่ได้

แม้กระทั่งด้านอนุรักษ์วัฒนธรรมและสวัสดิการสังคม ซึ่งมักเป็นสูตรสำเร็จไว้สร้างปมเขื่องสำหรับเผด็จการทั่วโลก (กลับไปดูข้ออ้าง คสช. และ รสช. แล้วจะเห็นแจ้ง) กับรัฐบาลนี้พอเปลี่ยนเป็นเผด็จการครึ่งใบ อะไรๆ ก็ชักจะผิดเพี้ยนได้บ่อยๆ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว อาคารไม้สักขนาดใหญ่อายุ ๑๒๗ ปีที่จังหวัดแพร่ถูกทางการรื้อลงเป็นเศษไม้ ลายฉลุหน้าจั่วแบบโบราณกลายเป็นขยะ พอคนโวยวายกันมากจนอึงอื้อ ดันแก้ตัวว่าไอ้ที่รื้อทิ้งลงเป็นกองกับพื้นนั่น เป็นการซ่อมแซมบูรณะ

เปรียบเทียบกับอาคารไม้ภายในเขตสวนอัมพรที่กำลังอยู่ภายใต้การบูรณะอย่างห้ำหั่น ภาพถ่ายทางอากาศทั่วบริเวณตั้งแต่สนามเสือป่ายันลานพระรูปฯ ไม่มีอาคารใดๆ เหลืออยู่ เว้นแต่เครื่องบินโบอิ้งของการบินไทยลำหนึ่งเข้าไปจอดอยู่

แถมเรื่องน่าเศร้าหลุดออกมาจากศูนย์ดำรงธรรม ว่ามีการยึดบ้านไม้สักที่จังหวัดแพร่ของประชาชนเอาไปขายทอดตลาดในราคาเพียง ๓ หมื่นบาท อ้างว่าเจ้าของบ้านเป็นบิดาของสตรีสาวผู้หนึ่งซึ่งติดหนี้กองทุนเพื่อการศึกษา กยส. อยู่ ๑๗,๐๐๐ บาท
 

“กยศ. แม่-กลายเป็นนายทุนหน้าเลือดไปแล้ว” Atukkit Sawangsuk สับแรงว่านั่นขนาดราคาจริงของบ้านหลังนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ล้าน เป็น “การบังคับคดีโดยไม่แจ้งเจ้าของทรัพย์สิน มีปัญหาแน่ๆ” และน่าสงสัย “ความโปร่งใส

มุบมิบกันหรือไม่ สมคบกันขายลับหลังหรือเปล่า ในราคาถูกเป็นขี้” เพียงอ้างว่า “มีความจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยยึดทรัพย์ของผู้ค้ำประกันก่อนที่คดีจะขาดอายุความ” นั้นฟังไม่ขึ้น

ในเมื่อเจ้าของทรัพย์ไม่ทราบมาก่อน จนกระทั่งมีป้ายยึดทรัพย์ไปติดหน้าบ้าน