วันพุธ, มิถุนายน 24, 2563

ย่ำรุ่ง ๒๔ มิถุนาเรียบร้อย ก็ยังต้องต่อประกาศฉุกเฉิน "บ้านเมืองกำลังมีปัญหา” (ใครวะก่อ)


ไหมล่ะ มันยักท่าเล่นวิชามารเพื่อต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน อ้าง “ยังมีความจำเป็น” เพราะที่ปลอดภัยอยู่ทุกวันนี้ด้วยมาตรการป้องกันโควิด-๑๙ ด้วย พรก.ฉุกเฉิน และ “วันนี้สถานการณ์ยังไม่จบ ทั่วโลกยังมีการติดเชื้อ” จึงเห็นท่าต้องต่อไปอีกเดือน

วันที่ ๒๕ นี้รู้กันว่าจะเปลี่ยนใจไหม ในเมื่อ ย่ำรุ่ง ๒๔ มิถุนานี้ผ่านไปด้วยดี มีคนรุ่นใหม่ๆ รู้จักเบื้องลึกของการอภิวัฒน์สยามเมื่อปี ๒๔๗๕ เพิ่มขึ้นอีกหลายล้าน และตระหนักกันแน่นแฟ้นด้วยว่า มีอำนาจซ่อนเร้นหักหาญลบล้างกำเนิดประชาธิปไตยของชาติ

แต่จากน้ำเสียงของประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้สึกจะเป็นห่วง “ทำไมจะต้องมาเคลื่อนไหวกันตอนนี้ บ้านเมืองกำลังมีปัญหา” น่าสมเพชที่ประยุทธ์ทำไขสือไม่ยอมรับว่าปัญหาเกิดจากพวกตนที่ครองเมืองมา ๖ ปี จนทำให้ การค้าการลงทุนและเศรษฐกิจโดยรวม ย่ำแย่

ซ้ำร้ายด้านได้ โกหกตัวเองไม่พอ โกหกทั้งโลกด้วยว่า “ผมไม่ได้ต้องการจะใช้กฎหมายมากดดันใครเลย...มาจ้องเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวว่าเป็นเรื่องทางการเมือง” ทำไมจะไม่ใช่ ในเมื่อเร่งขยายผลการตรวจยึดอาวุธสงครามในพื้นที่แนวตะเข็บชายแดน

การตรวจยึดได้ปืนกล ปืนสมรรถนะสูง และอาวุธปืนอื่นๆ รวม ๓๓ กระบอก พร้อมกระสุนจำนวนหนึ่งที่แม่สอดใกล้ชายแดนพม่า เบื้องต้น “คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง” จับกุมผู้ต้องสงสัยไปแล้วสองคน น่าจะขยายผลจนยืดเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินได้สิน่า
 
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติอ้างคำของ ผบ.ตร.ว่าอาวุธเหล่านั้น “ถูกตระเตรียมการไว้ใช้ในการเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากสอดคล้องกับข้อมูลทางการข่าวของฝ่ายความมั่นคง” แต่ไม่ยักฟันธงลงไปให้แจ่มแจ้งว่า “เป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายใด”

งั้นอาจเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายกองอำนวยการความมั่นคงภายในก็ได้มั้ง จึงได้มีการประกาศพื้นที่อันตรายทางการเมือง ๑๒ จังหวัดขึ้นมาทันใด โดยจังหวัดพื้นที่เสี่ยงดังอ้างส่วนใหญ่ เตรียมการรำลึก ๘๘ ปีการประกาศปลอดแอกประชาชนของคณะราษฎรกันทั้งนั้น

มีการใช้คำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ขู่ว่า “เยาวชน นักศึกษา อาจถูกชักจูงด้วยข้อมูลที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย...อาจจะต้องถูกดำเนินคดี” โทษฐานฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จำคุก ๒ ปี ปรับ ๔ หมื่น หรือทั้งจำและปรับ


ดังนั้น ไหนๆ ไปจับอาวุธของชนกลุ่มน้อยได้มากมายแถวชายแดนจังหวัดตากแล้ว เห็นทีจะต้องขยายผล ขยับพื้นที่ขึ้นเหนือไปอีกหน่อย แถวสามเหลี่ยมทองคำ เห็น ปปส.คณะปราบเสพติดเพิ่งเปิดเผยว่า “ยังเป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนใหญ่ของโลก”

เลขาฯ ปปส.แจงว่า แหล่งผลิตเฮโรอินนี้อยู่ในประเทศเมียนมาร์ แต่ส่งเข้ามาขายในไทย อย่างต่อเนื่องทั้งระบาดกระจายในประเทศไทย และเป็นทางผ่านส่งต่อออกไปประเทศอื่นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างน้อยๆ ตั้งแต่ปี ๖๐ จำนวน จับยึด เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปี ๖๐ จับยึดเฮโรอินได้ ๓๗๖ กิโล พอปี ๖๒ เพิ่มพรวดเป็น ๙๔๑ กิโล และ ๘ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๖๓ นี่เข้าไป ๓๕๒ กิโลได้แล้ว เฉพาะล่าสุด ๑๔ มิถุนานี้เอง จับได้อีก ๑๐ กิโลซึ่งลำเลียงเข้ามาพร้อมยาบ้า ๘ แสนเม็ด
 
นายนิยม เติมศรีสุข ยังให้สถิติเกี่ยวเนื่องด้วยว่า จำนวนผู้เข้ารับการรักษาพิษเฮโรอินก็เพิ่มเคียงข้างปริมาณนำเข้า ปี ๖๐ มีผู้ป่วยพิษยาเสพติด ๓,๗๔๔ คน ปี ๖๒ เพิ่มไม่มากมีแค่ ๓,๙๘๐ คน แต่ปี ๖๓ ถึงพฤษภาคม มีผู้ป่วยเกือบ ๓ พันเข้าไปแล้ว

“ดังนั้นจึงขอให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันสอดส่องดูแลเด็กเยาวชน ที่เป็นบุตรหลานหรืออยู่ในความดูแล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทุกชนิด” เจาะจงที่เยาวชนอีกแล้ว อะ ประเทศนี้นี่ไม่ไว้ใจเยาวชนของเรากันเลยหรือ มิน่าการพัฒนาการศึกษาไทยห้อยท้ายชาวโลก


ว่าไปแล้วการชี้เป้าเยาวชนนี่ ตำรวจจะใช้เป็นข้ออ้างหรือแม้กระทั่งยัดของกลาง ให้กับเยาวชนที่ถูกหมายหัวทางการเมือง ก็ได้เหมือนกันใช่ไหม พวกสืบทอดอำนาจรัฐประหารนี่อ้าปากเห็นลิ้นไก่ กับไอ้ต่ออายุประกาศฉุกเฉินนั่นก็แขวะเยาวชน

นี่เฮโรอินระบาด ทั้งที่ตลอดยุค คสช.ยาบ้าก็ล้นตลาดทั่วประเทศ ขนาดจับได้ครั้งละจำนวนมากๆ ยังเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง จนพวกหาลำไพ่แอบขายยาบ้ายังบ่นว่า รัฐบาล คสช.ทั้ง ๑ มาต่อ ๒ ห่วยแตกทำให้ราคายาบ้าถูกกว่ายาพารา

รัฐบาลชุดนี้ที่ไม่สามารถปราบยาเสพติดอย่างราบคาบได้ ไม่ใช่ใจดีไม่ทำวิสามัญหรอกนะ อุ้มหายอุ้มตายผู้ลี้ภัยยังทำกันได้ ปัญหาอยู่ที่มีรัฐมนตรีเคยติดคุกฐานค้าเฮโรอิน จำเป็นต้องทำหน้าตายผ่อนเบาเรื่องยาเสพติดไว่หน่อย