มันเป็นไปตาม (กอบ) ‘กำ’ บรรดา ส.ส.ที่มาจาก กปปส.ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน
เคลื่อนไหวรวมศูนย์เข้าสู่พลังประชารัฐ ยามที่ ‘สี่กุมาร’
ถูกส่งไปอยู่ ‘แถวหลัง’ (หรือกระทั่ง
‘นอกแถว’ ต่อไปก็ได้ ใครจะรู้) ผลที่เกิดจะมีแต่นักการเมือง
‘ห้อยโหน-ก๊กก๊วน’ เต็มรัฐบาล
ก่อนอื่น ๒ พรรคเล็ก (จากสิบพรรคเอื้ออาทร)
กำลังขาขวิดวิ่งเข้า พปชร. นัยว่าได้กินประจำย่อมดีกว่า ‘เพอร์เดียม’ จ่ายตามชิ้นงาน เอาอย่างความสำเร็จของ
ไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งยุบพรรคตัวเองไปเป็นประชารัฐ ตอนนี้โตวันโตคืน
พรรคครูไทยกับพลังชาติไทยซึ่งต่างมี
ส.ส.คนเดียว กำลัง “อยู่ในขั้นตอนของกระบวนการ” ไปเข้า พปชร.บ้าง
ขณะที่อีกพรรคเล็กลิ่วล้อรัฐบาล พลังท้องถิ่นไทของ ชัช เตาปูน ดูด
ส.ส.อนาคตใหม่มาได้ ๒ คน รวมเป็น ๕ มากกว่าชาติพัฒนาของ ‘ลิปตพัลลภ’
ชัชวาลล์ คงอุดม รอเป็นรัฐมนตรีมานานแล้วเพิ่งจังหวะปะเหมาะ
อ้าง “พรรคชาติพัฒนาที่มีส.ส. ๔ คน แต่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ”
ท้องถิ่นไทควรได้บ้าง เล็งมหาดไทยกับเกษตรฯ แค่ รมช.ก็พอ แจงสรรพคุณ “ไม่เคยแตกแถว”
นะ
ทางด้านประชาธิปัตย์ที่มี กปปส.อยู่คลั่ก
พยายามยึดพรรคมาแล้วไม่สำเร็จ เมื่อ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พ่าย จุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์ และพีระพันธ์ก้ไปได้ดีที่ พปชร. เป็นถึงที่ปรึกษานายกฯ แล้วยังเป็นตัวจับวางรอนั่งหัวหน้าพรรคในอีก
๖ เดือนข้างหน้า
อาทิตย์ที่แล้วมี ส.ส.ปชป.๖ คน
ไปนั่งกินข้าวกับพีระพันธ์ในห้องทำงานตึกบัญชาการ ๑ ทำเนียบรัฐบาล
เป็นข่าวฮือฮามาก สามคนที่เป็นตัวเอ้ได้แก่ รังสิมา รอดรัศมี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และบุณย์ธิดา
‘แนน’ สมชัย
อาทิตย์นี้กลุ่มของ ‘แม่เลี้ยงติ๊ก’ เอาบ้าง ชวนกันไปกินกลางวันกับที่ปรึกษาซึ่งนายกฯ
ไว้วางใจให้ไปร่วมทีมทำแผนฟื้นฟูการบินไทย มีทั้งภาคเหนือภาคใต้รวม ๕ คน ได้แก่ ศิริวรรณ
ปราศจากศัตรู วิรัตน์ วิริยะพงษ์ และวิทยา แก้วภราดัย เป็นอาทิ
ส.ส.เหล่านั้น โดยเฉพาะพวกหัวหน้าทีมล้วนมีเป้าหมายตำแหน่งรัฐมนตรี
เมื่อมีการปรับ ครม.ครั้งสำคัญหลังจากเลือกกรรมการบริหารพรรค พปชร.ให้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้าไปเป็นหัวหน้าแล้ว โดยมีข่าวลือเล็ดรอดออกมาดังลั่น
ว่า ‘พี่ป้อม’ จะอยู่ควบคุมสถานการณ์เปลี่ยนผ่านเพียงแค่ ๖ เดือน ให้ปัญหา ‘ก๊กก๊วน’ สงบลงแล้วจึงให้ตัวจริงที่จัดวางไว้แต่ต้นคือ
พีระพันธ์เข้าสวม แหล่งข่าวน่าจะวงในเชื่อถือได้ของกรุงเทพธุรกิจ เครือเนชั่น
ยันว่าตอนนี้ยังหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่
ถึงแม้ ภาพลักษณ์ของพีระพันธ์ใช้ได้ แต่ “อย่าลืมว่าพีระพันธุ์มาจาก”
ปชป. รู้จักมักคุ้นกันดีกับณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กปปส.ตัวพ่อง
“หากโผล่มานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค พปชร.ทันที บรรดากลุ่ม-ก๊ก-ก๊วน
อาจจะต่อต้านมากกว่าเดิม”
แม้นว่าทางเลือกกรณีพี่ป้อมขัดตาทัพรอน้องตู่เป็นเอง
จะได้เล่นการเมืองแบบมีเลือกตั้งเต็มสตีม และลูกพรรคเสือสิงห์กระทิงแรดยำเกรง จะฟังไม่ขึ้นเพราะไม่เห็นจำเป็น
แต่มันสะท้อนความย้อนแย้งแห่งการเข้ามายึดอำนาจของคณะทหาร
ว่าแท้จริงแล้วพวก คสช.จ้องยึดอำนาจแต่ต้น
โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ และ กปปส.เป็นใส้ศึกก่อเหตุวุ่นวาย
ด้วยความสนับสนุนของชนชั้นนำที่ไม่พอใจ ‘ชินวัตร’
กับแรงดันหนักหน่วงของ พธม.ซึ่งท้ายสุดกลายเป็น ‘ถูกหลอกใช้’
เป็นที่ประจักษ์ในที่สุดว่าการเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งของพี่น้อง
สามป. และทีม คสช.ใช้ทั้งเล่ห์กลและมนต์คาถา ไม่ว่าการดูดอดีต
ส.ส.ด้วยข้อแลกเปลี่ยน ยกยอดคดีความมั่นคงให้ กับการสอดไส้รัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกไว้ด้วยส่วนที่ทำให้
‘ได้เปรียบ’
มุ่งมั่นคุมกำเนิดการเมืองไทยให้อยู่ในอุ้งมือพวกตน
โดยไม่ต้องกังวลว่ากระเป๋าเงินของชาติจะแห้งลงๆ แล้วยังการเมืองเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม
ยิ่งเสียกว่าข้ออ้างที่พวกตนใช้เพื่อการยึดอำนาจ ทุกวันนี้มันกลับมาเกิดเป็นดอกเห็ดภายใต้การครองเมืองของ
คสช.๒
คำว่า “ไอ้ห้อย ไอ้โหน ไอ้เห็บ ไอ้เหา”
ซึ่งกลุ่ม “ไอ้ห้อย ไอ้โหน ไอ้เห็บ ไอ้เหา”ในพรรคประชาธิปัตย์ใช้อ้างเพื่อ “เตรียมลู่ทางไปร่วมงานการเมืองกับพรรคพลังประชารัฐในอนาคต”
มันบ่งบอกตัวตนของคณะทหารที่ยึดอำนาจรัฐเพื่อเข้ามาเล่นการเมืองกันเสียเอง