วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 01, 2561

'วาทกรรมอำพราง' กับ 'พฤติกรรมอำมหิต' นั่นละสิ ทำดัชนีเสรีภาพและประชาธิปไตยไทยร่วงผลอย

นั่นสิ แบบอธึกกิตว่า “อย่างฮา ถ้าประชาชนไม่ต้องการ แล้วจะถามประชาชนแบบไหน ทำโพลก็ไม่ได้ ประท้วงก็ไม่ได้ ให้ไปแสดงความเห็นกับทหารที่ศูนย์ดำรงธรรมมั้ง ว่าต้องการประวิตรไหม”

ที่จริงมีช่องทางอยู่ แต่สงสัยเขาจะไม่ดู ไม่เคยดู ไม่คิดดู ที่ change.org รณรงค์กัน ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ลาออกเสียเถอะ ตั้งกระทู้โดย ทิชา ณ นคร คนแห่ไปลงนามกันพรึ่บ ขณะเขียนนี ใกล้ ๒ หมื่น ๕ พันเข้าไปแล้วละ

 
อันเนื่องมาจากคำของรองนายกฯ ฝ่ายมั่นคงและมั่งคั่งที่ว่า “ถ้าประชาชนไม่ต้องการ ผมก็พร้อมที่จะไปจากตำแหน่งนี้”

พี่ ป.ป้อม แกไปพูดในงานเลี้ยงสานสัมพันธ์กับสื่อสายทหาร ที่กระทรวงกลาโหม บอกว่า คสช.ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประชาชน...ประคับประคองให้คลี่คลายปัญหาขัดแย้งกันในสังคม...ต่อสู้กับแรงเสียดทาน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย...ไม่มีนอกลู่นอกทาง

ส่วนตัวเองรับราชการมาตั้งแต่ปี ๑๑ เป็นเวลา ๕๐ ปีไม่เคยมีเรื่องอะไร ดูเอาแล้วกันว่าได้ทำอะไรที่เสียหายบ้างไหม


ส่วนน้อง ป.ประยุทธ์ พูดไว้ก่อนหนึ่งวัน “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจกับผม” นะ “ขอให้เห็นใจบ้างในสิ่งที่เรากำลังทำ อย่าให้สิ่งนั้นกระทบสิ่งนี้...

ไม่ใช่คำแก้ตัว ขอเวลาให้ผมได้วางรากฐานประเทศสักระยะหนึ่งก่อน จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับกฎหมาย” (ที่ให้ลิ่วล้อเขียนนั่นละ)


ลูกล่อลูกชนน่าดู เดี๋ยวขู่ เดี๋ยวออด ท้ายที่สุดก็มาลงตรงที่ “ขออยู่ต่ออีกสักระยะหนึ่ง ไม่รู้จะนานเท่าไร” จนกว่าจะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน นั่นละมัง

ทางด้านพี่ ป.ป็อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พูดเหมือนกัน ขยายผลเรื่องโครงการ ไทยนิยมซึ่งพี่ป้อมว่า “ท่านนายกฯ ลงพื้นที่ไม่ได้ไปหาเสียง แต่ไปดูปัญหาแก้ปัญหา ลดความเหลื่อมล้ำ” ไง

แต่ในขอบข่ายพี่ป็อกนี่ แค่ใช้ไป ๒ พันล้าน “ส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารประชาชน” ทีมงานมี ๒ พันคน “เราต้องลงพื้นที่กันกว่า ๗ หมื่นหมู่บ้าน และลงทั้งหมด ๔ ครั้ง ทุกหมู่บ้านจะต้องเลี้ยงอาหารประชาชนที่มาร่วมรับฟัง (เฉลี่ยหมู่บ้านละ ๒๐ คนน่าจะได้) และวิทยากร จำนวนหนึ่งมื้อ” เฉลี่ยหัวละ ๕๐ บาท (คำนวณดูละกัน)


แต่เอ๊ะคำนวณตามตัวเลขที่ให้มาคร่าวๆ มันตกราว ๒๐๐ กว่าล้านเท่านั้นนี่นะ หรือว่าทั่นเผลอเติมศูนย์ต่อท้ายโดยบริสุทธิ์ใจ

แล้วไง วาทกรรมอำพรางนั่นอย่างหนึ่ง พฤติกรรมอำมหิตก็อีกอย่าง นี่พวกคนรุ่นใหม่ที่ไปจัดกิจกรรมไล่ คสช.กันที่บนสกายว้อค แยกปทุมวัน โดนแจ้งข้อหาเพิ่มอีก ๓๒ คน ตำรวจอุสาหะขุดคุ้ยหาฐานความผิดตาม พรบ.ชุมนุมสาธารณะ ๒๕๕๘ ได้สะเด็ดมากว่า

เป็นการชุมนุมต้องห้าม “ในรัศมี ๑๕๐ เมตรจากเขตพระราชฐาน” อย่างนี้ผู้จงรักภักดีเขาบ่นว่า ลากเอาเบื้องยุคลบาทมาแปดเปื้อนกับกระบวนการฟ้าสซิสต์ข่มเหงประชากรรุ่นหนุ่มสาวนะ

มิน่า ในการจัดอันดับ #ดัชนีประชาธิปไตย (Democracy Index) สำหรับปี ๒๕๖๐ โดยนิตยสารดิเอ็คคอนอมิคส์ Economist Intelligence Unit #EIU
 
“ไทยได้คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และได้อันดับที่ 107 (จาก 167 ประเทศ) ภายใต้ระบอบปกครองแบบ กึ่งดิบกึ่งดี’ (Hybrid regime)

(จากการแบ่งรัฐบาลในโลกออกเป็น 4 ประเภท full democracy, flawed democracy, hybrid regime และ authoritarian regime) พูดอีกอย่างรัฐบาลของเราดีกว่าระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขั้นหนึ่ง

ส่วน #เสรีภาพสื่อ (Media freedom status) เราอยู่อันดับ 121 ของโลก จัดว่าเป็น ‘unfree’ อันดับโหล่สุด ไม่มีโหล่กว่านี้อีกแล้ว”

(ขอบคุณ Pipob Udomittipong ที่กรุณาถ่ายทอดรายงานออกมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ https://www.eiu.com/public/topical_report.aspx?campaignid=DemocracyIndex2017)

ก่อนหน้านี้ว้อยซ์ทีวีก็นำเสนอรายงานของ World Electoral Freedom Index 2018 หรือ 'ดัชนีเสรีภาพในการเลือกตั้งทั่วโลก ปี ๒๕๖๑'

“โดยในรายงานระบุว่า ๓ ประเทศอันดับนำของโลกในเรื่องเสรีภาพการเลือกตั้ง คือ ไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วน ๓ ประเทศอันดับรั้งท้ายสุด คือ ประเทศไทย ซาอุดีอาระเบีย และบรูไน”
 
บรรดาประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงของไทยล้วนแต่ได้อันดับที่ดีกว่าทั้งสิ้น ดังเช่น “ฟิลิปปินส์อยู่ที่อันดับ ๔๑ ของโลก ติมอร์เลสเต อันดับที่ ๖๐ มาเลเซีย อันดับที่ ๑๒๕ อินโดนีเซียที่ ๑๒๖ ตามด้วยเมียนมา (๑๖๙) สิงคโปร์ (๑๗๓) กัมพูชา (๑๗๕) เวียดนาม (๑๘๐) ลาว (๑๘๒)


สองประเทศหลัง ทั้งกัมพูชาและลาว อยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำ