ขาลงเป็นธรรมดา คุณจะอยู่ค้ำฟ้าได้อย่างไร!?
เมื่อคุณไม่ได้ขึ้นตามบันได เวลาขาลงเหมือนดิ่งจรวด
ควร พกร่ม เวลาลงจะได้นิ่มๆ อย่าตกลงมาแรง
"ปลอดประสพ สุรัสวดี"
หรือรับชมแบบเต็มๆได้ที่
https://www.matichonweekly.com/clip-matichonw…/article_79625
...
Vinai Pinigpioon ผู้นำการปฏิวัติทุกครั้งทุกสมัย รวยอู้ฟู่ทุกคนลองย้อนไปดู พวกรุ่นน้องๆลูกๆหลานๆ ถึงอยากกันนัก แต่จะอ้างเพื่อชาติ ไม่ใช่ เพื่อเงินใช่เลย
ooo
ใครไม่ตอบ!!! ? “ปลอดประสพ” ตอบให้ จะเอาแบบเดิม (นักการเมือง) หรือเอาแบบนายกฯ ประยุทธ์
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561
ผู้เขียน พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์
“ผมอยากเรียนนายกรัฐมนตรี สำหรับนักการเมือง คำสัญญาหรือคำพูดสำคัญยิ่งกว่าการเป็นข้าราชการด้วยซ้ำไป อย่างนักการเมืองพูดว่าจะลาออก เขาลาออกเลย หากนักการเมืองพูดโกหกต่อประชาชน ไม่มีใครอยู่ได้ ที่ผ่านมาท่านประยุทธ์พูดอะไรไว้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของการเลือกตั้งมีหลายครั้งหลายเวที แล้วมีคนเขาบันทึกเทปไว้หมด ว่าท่านได้พูดกับผู้นำต่างประเทศ แต่ต่อมาก็บอกว่าไม่ได้พูดหรือหมายความว่าอย่างนั้นอะไรทำนองนี้ พอพูดแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นจึงรู้สึกว่าท่านต้องระมัดระวังการพูด แม้ว่าขณะนี้จะสายไปแล้วแต่ไม่อยากเห็นท่านพูดสัญญาอะไรกับใครบ่อยๆ”
นี่คือคำเตือนจาก ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกฯ ในฐานะคนเดิมคนเก่าของรัฐบาลที่แล้ว
ปลอดประสพ มองประเด็นที่นายกฯ ถามว่าอยากจะกลับไปเป็นแบบเก่า? ว่า ไม่แน่ใจว่า แบบเก่าที่ท่านประยุทธ์พูดถึง คือช่วงไหนกันแน่ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์? รัฐบาลควง อภัยวงศ์? รัฐบาลทักษิณ? แต่ผมจะขอพูดถึงรัฐบาลที่ใกล้ที่สุดที่ท่านได้ปฏิวัติเข้ามา ผมเองอยู่ในรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ เป็นทั้ง ส.ส. และรัฐมนตรี รวมถึงตำแหน่งรองนายกฯ พูดถึงเรื่องนโยบายที่ปรากฏออกมาก็ดีนะ ถ้าไม่ดีแล้วคนจะเลือกเข้ามาหรือ? เป็นเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของสภาด้วย”
“ส่วนเรื่องของการทุจริต ก็บอกมาเลยว่าใคร เหมือนกับกรณีที่นายกฯ ประยุทธ์ตอบถึงกรณีรองนายกฯ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เรื่องนาฬิกา ผมก็ขอใช้คำของท่านเหมือนกันว่าถ้าไปเจอใครอะไรยังไง ก็เอาเป็นรายบุคคลไปเลย และนั่นก็คือเรื่องส่วนตัวเหมือนที่ท่านพูดนั่นแหละ”
อีกหนึ่งข้อโต้แย้งที่ถูกหยิบยกมาโจมตีการเมืองแบบเก่าเสมอ คือเรื่องของความขัดแย้งวุ่นวาย จนมีจลาจลในช่วงเวลานั้น
“ผมก็ต้องถามอีกแหละ ว่าใครตีกับใคร ใครตีใครก่อน ผมไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ คงจะนึกออกว่ามีกลุ่มก้อนอะไรบ้างช่วงเวลานั้น แต่สิ่งที่คนสงสัยกันมากก็คือความขัดแย้งครั้งนั้น ท่านเกี่ยวข้องหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่คนสงสัยมาตลอด เพราะว่าฝ่ายของ กปปส. เวลาเดินทางไปไหนจะมีทหารเข้ามาคุ้มครอง ซึ่งตำรวจไม่กล้าจับ หรือหากจะปิดหน่วยเลือกตั้ง ปิดกระทรวงหน่วยงานราชการต่างๆ ก็ไม่เห็นจะสั่งการให้ทหารทำอะไร ผมเองก็ไปเยี่ยมหน่วยทหารหลายหน่วย ก็สอบถามได้ความว่า ไม่มีการสั่งการใดๆ ลงมา”
“ซึ่งสุดท้าย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ใช้วิธีการยุบสภาและให้เลือกตั้งตามครรลองของประชาธิปไตย ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่ถูกต้อง ที่สำคัญรัฐบาลไม่ได้สั่งให้ทำร้ายประชาชนหรือใช้กำลังรุนแรงและไม่เคยถูกฟ้องมาจนถึงทุกวันนี้ มีแต่เจ้าหน้าที่รัฐที่โดนทำร้าย ก็ขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการ”
“เพราะฉะนั้น ประเด็นที่ว่า อยากกลับไปเป็นแบบเดิมหรือจะเอาแบบท่านประยุทธ์ เอาเรื่องนโยบายก่อน ผมก็เห็นว่ามีแต่ “แจก” เห็นประชาชนเป็นผู้ที่ต้องได้รับการอุปถัมภ์ตลอดเวลา คำถามคือเศรษฐกิจดีขึ้นบ้างหรือไม่? คนหายจนหรือเปล่า แจกมาเป็นเวลา 3 ปีกว่า คนก็ยังไม่หายจน หรือนโยบายทางด้านเกษตรกรรม สินค้าทางเกษตรก็ยังมีราคาตกต่ำอยู่”
“นโยบายทางด้านแรงงานก็เห็นว่าเป็นปัญหา และมีกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งทหาร ตำรวจด้วย หรืออย่างการจับอาบอบนวดที่เป็นข่าวใหญ่ครั้งล่าสุด คำถามคือในช่วง 3 ปีกว่าที่ผ่านมาท่านไม่รู้เรื่องเลยหรือ?”
“ขณะที่นโยบายทางด้านการต่างประเทศ คำถามคือทุกวันนี้มีใครคบค้ากับเราบ้าง ยังมีอีกหลายประเทศที่ท่านไปไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ นโยบายทางด้านกองทัพก็เห็นมีอยู่เรื่องเดียวซื้อเก่ง หรือนโยบายของท่านเองแท้ๆ อันหนึ่งที่วิจารณ์ได้ โครงการไทยนิยมยั่งยืน ตั้งกรรมการ 7,000 กว่าชุดที่ไม่เคยมีในโลกนี้ทำ ใช้คนที่เป็นข้าราชการประมาณ 3-4 หมื่นมาเป็นไปได้อย่างไร แล้วข้าราชการพวกนี้เขาไม่ต้องทำงานหรือ ต้องทำงานเพื่อสนองนโยบายที่รัฐบาลคิดว่าดีและเจ๋งที่สุด”
“พวกท่านชอบย้ำว่าที่ผ่านมานักการเมืองใช้เงินงบประมาณล้างสมองหลอกประชาชนซื้อเสียงเพื่อให้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล เท่ากับว่าคุณดูถูกและคิดว่าคนไทยอย่างมากจึงไม่สามารถปล่อยประชาธิปไตยกลับคืนได้อย่างเต็มที่ได้จึงต้องอยู่แบบกึ่งๆ ครึ่งๆ ใบเช่นนี้ ซึ่งประชาชนเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”
สิ่งหนึ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์พูดอยู่บ่อยที่สุดคือการเสียสละ ถ้าไม่เข้ามาประเทศชาติจะวุ่นวายกว่านี้ ปลอดประสพให้ความเห็นว่า “ผมอยากจะบอกว่าถ้าท่านไม่เข้ามา มันก็จะมีการเลือกตั้งก็จะได้รัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ ต้องถามว่าใครไปเชิญให้ท่านเข้ามา ใครไปนัดกับท่านหรือท่านมีนัดกับใคร แล้วต้องถามอีกว่า ที่ท่านเข้ามานั้นถูกกฎหมายหรือไม่ ท่านมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ ปฏิวัติรัฐประหาร ท่านไม่ได้เข้าทางประตูมา ท่านปีนเข้ามาแล้วเข้ามานิรโทษกรรมตัวเอง”
“พวกผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านไม่ได้เป็นกรรมการมาห้ามมวยอะไรหรอก เพราะช่วงที่เป็นรัฐบาลสั่งการอะไรลงไปก็ไม่ได้รับความร่วมมือ เชิญประชุมก็ไม่มา ขนาดประกาศกฎอัยการศึกก็ไม่มีการเข้ามาหารือกับรัฐบาล เราก็ดูออกแล้วว่าตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง และในที่สุดท่านก็ทำ”
“ส่วนคำกล่าวที่ว่านักการเมืองไม่ยอมปฏิรูปตัวเอง ไม่จริงหรอกครับ หากนักการเมืองไม่ปฏิรูปตัวเองอยู่ไม่ได้แน่นอน ใครจะไปเลือกคนที่ไม่ยอมปฏิรูป”
“ต้องถามว่าคือท่านหรือไม่ ที่ยังคงเชื่อว่าทหารเก่งที่สุด มีอำนาจจะปฏิวัติเมื่อไหร่ก็ได้ ท่านก็เชื่อมาอย่างนี้ตลอด ซึ่งแบบนี้เป็นความคิดที่ผิด ไม่อยากใช้คำว่าไดโนเสาร์เต่าล้านปี ถึงขั้นจะสืบทอดอำนาจต่อไปอีก อย่างนี้ท่านปฏิรูปตัวเองหรือเปล่า?”
ส่วนที่บอกว่า “เลือกตั้งเข้ามาได้นักการเมืองแบบเดิมกลุ่มเดิม การเมืองวังวนเดิมๆ” ปลอดประสพบอกว่า “ต้องถามว่าแล้วใครเลือก ประชาชนใช่หรือไม่ ในเมื่อคุณบอกว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ กองทัพเป็นของประชาชน ถ้าคุณไม่เลือกก็ไม่เห็นเป็นอะไร พอเขาเลือกไม่ถูกใจคุณคุณก็โวย เพราะคุณกลัวประชาชนที่จะเลือกคนที่เขารัก คุณเลยสร้างกติกาพิสดารขึ้นมา”
“กติกาเหล่านี้พวกผมถึงจะบ่นก็บ่น แต่ก็บอกว่าเอาล่ะสร้างกติกาอะไรก็สร้างมา ผมก็จะลงเลือกตั้งให้ประชาชนเลือก แต่ทำไมคุณกลัวอะไรถึงเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ในอนาคตจะเลื่อนอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขอให้จำไว้ว่ายังไงคุณก็ต้องแพ้ ยังไงคุณก็ต้องไป ไม่มีทางที่คุณจะอยู่ค้ำฟ้า ผมเชื่อว่ายังไงก็ไม่มีการถ่ายทอดอำนาจจากคุณไปยังพวกของคุณได้”
“ผมเข้าใจว่าท่านไม่เคยว่างงานใช่หรือไม่ ตั้งแต่ร้อยตรีถึงปัจจุบันทำงานทุกวัน เวลาคนไม่เคยว่างงานมันก็กลุ้มใจว่าพรุ่งนี้ตื่นมาใครจะมาพบเราเจอเรา พรุ่งนี้เช้าตื่นมาเราจะได้เซ็นหนังสือหรือไม่ จะได้สั่งการอะไรหรือเปล่า ผมเลยอยากจะแนะนำให้ท่านไปซื้อแฟ้มเปล่าเก็บไว้เมื่อว่างงานตื่นมาปุ๊บฝึกเซ็นปั๊บ!”
“หากท่านจะกลับมา อยากให้ท่านก็กลับมาตามครรลองของตัวบทกฎหมายตามที่ท่านชอบพูดให้เคารพกฎหมาย ท่านก็ทำตามที่ท่านประกาศย้ำสิ และหลังจากนี้ก็ประกาศไปเลยว่าจะเล่นการเมืองพรรคไหน ให้พรรคอะไรสนับสนุนเข้าไปเป็นสมาชิกพรรค แบบนี้ก็ทำได้ไม่ใช่หรือ?”
“ส่วนความคิดสุดประเสริฐที่ว่าต้องอยู่ตายไม่ได้ เสียสละ ต้องทำ อย่าไปคิด ประเทศชาติเรามีตัวตายตัวแทนตลอด อย่าไปคิดว่าไม่มีเรา อย่าไปคิด มันมีอัตตาหนักไป”
“ต้องขอบคุณ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่พูดความจริงเรื่องขาลงกองหนุนหมด ถ้าคนอื่นพูดท่านคงโกรธน่าดู ธรรมดาอยู่มา 3-4 ปีเป็นแบบนี้ นิสัยคนไทยก็ขี้เบื่อง่าย ประกอบกับความเดือดร้อนจากสภาวะเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ต้องยอมรับว่ายังแย่ คุณต้องดูความจริง”
“ขาลงจึงเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงท่านก็ต้องลง ถ้าลงตามบันไดค่อยๆ ลงทีละก้าวก็จะไม่เจ็บ แต่เนื่องจากท่านไม่เคยขึ้นบันไดแต่แรก ท่านขึ้นจรวดมา ขาลงก็จะดิ่งลงหนัก ตกลงอย่างรุนแรง แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลย ดูหน้า น.ส.พ. คนที่เคยรักใคร่ชอบกันก็เริ่มลงข่าวโจมตี แปลว่าอะไร? ท่านต้องตระหนัก”
“แต่สิ่งที่เขายังปล่อยมือไม่ได้ ทั้งคุณทั้งผมเป็นมนุษย์ขี้เหม็น กิเลสตัณหายังมี อำนาจมันเป็นเชื้อโรครุนแรง การสรรเสริญเยินยอก็เป็นวิตามิน ผมเป็นข้าราชการเติบโตมาผมก็ติดวังวนอำนาจเหมือนกัน แต่ผมรู้ว่าแค่ไหนพอ หักห้ามใจได้ แต่ท่านประยุทธ์และคนแวดล้อมท่านอีก ตัณหาของพี่น้องพ้องเพื่อนเยอะ ต้องอุ้มคุณประยุทธ์ เหมือนอุ้มนาคไว้”
สุดท้ายผมก็รู้สึกเห็นใจท่านนะ ที่กล่าวมาฉอดๆๆ เพราะรู้จักท่านและอีกหลายคนในกองทัพและ ครม. มาก ผมพูดจากใจ ไม่ได้พูดแบบนักการเมืองทั่วๆ ไป ผมไม่ลงก็ได้ ผมไม่แคร์ แต่ถ้าสุขภาพสติปัญญายังมีโอกาสก็ลง ได้ก็ทำงาน ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่เห็นมีอะไร
“และตั้งใจว่าหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้าก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะลงเล่น”