วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 17, 2561

สนช.ลากิจเป็นนิจสินได้ นี่ก็ ‘ฉ้อราษฎร์บังหลวง’ อย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับลิ่วล้อ คสช.เล่นหุ้นหาลำไพ่


นี่ยังไม่ครบสี่ปีดีทั้งลิ่วล้อและลูกไล่ คสช. ออกลายกันเป็นแถว ใช้อำนาจเกินเกณฑ์ตามอำเภอใจ อ้างตรรกะอย่างแถไถ เอาแต่ได้ถ่ายเดียวไม่คำนึงถึงอื่นใดทั้งสิ้น

สนช. หรือกลุ่มบุคคล (ส่วนใหญ่นายทหาร) ที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้นมาทำการประทับตราและออกกฏระเบียบบังคับใช้กับประชาชนทั่วไป ถึงคราวพร้อมใจอนุมัติมาตรการ “เพื่อประโยชน์ส่วนตัว” หักล้างหลักเกณฑ์ความประพฤติสำหรับองค์กรที่พวกตนได้รับแต่งตั้งเข้าไปกินเงินเดือนเรือนแสน ที่มาจากภาษีอากรของประชาชน

ประมวลจริยธรรมสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติข้อ ๒๓ (ทั้งหมดมี ๔๕ ข้อ) กำหนดให้ทุกคนต้องอุทิศเวลาแก่งานราชการ ไม่เบียดบังเอาไปใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนตัว

แต่เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มติ สนช. ๑๖๐ เสียง (นอกนั้นงดออกเสียง ๖ คน และไม่ได้ลงคะแนน ๑ คน) เห็นชอบไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ ตามความเห็นของประธานกรรมาธิการ กล้ารงค์ จันทิก ที่ว่า

สมาชิกหรือกรรมาธิการ “สามารถยื่นลา (กิจ) ต่อประธาน สนช. เหมือนที่เคยปฏิบัติมา (เป็นนิจสิน) ได้โดยจะไม่ถือว่าขาดคุณสมบัติ” จากตำแหน่ง


ตรงกับคำวิจารณ์จากชาวบ้านพลเมืองเน็ตที่ปรากฏทางไซเบอร์ ถึงพวกลูกไล่ คสช.เหล่านี้ที่ว่า “ด้านได้อายอด” เสียจริง

วันก่อนเพิ่งขึ้นเงินเดือนย้อนหลัง ๑๐% ให้ศาลและองค์กรอิสระไปถึงปลายปี ๕๗ วันนี้ สนช.ยกมือให้พวกพ้องตัวเองลางานไปประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ ๑๖๐ เสียง #ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง นี่มันดีจริงๆ” 

Incognito @Incognito_me บ่นถึงวิธีการ ฉ้อราษฎร์บังหลวง อย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายของ คสช. เองต้อง น้อมรับ ผลสำรวจที่พบว่าดัชนีการคอรัปชั่นของไทยนั้น แย่ลง
แม้นว่าผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าจะกล่าวถึงดัชนีการคอรัปชั่นโดยรวม แต่เน้นตัวอย่างที่ประเด็นการ “จ่ายเงินเพิ่มพิเศษ (เงินใต้โต๊ะ) แก่ข้าราชการหรือนักการเมืองที่ทุจริต” ก็ตาม

(อย่าลืมว่า นักการเมืองในขณะนี้ถ้าไม่ใช่พวกคณะรัฐประหารโดยตรง ก็จะเป็นลิ่วล้อและ/หรือลูกไล่ ที่ คสช.แต่งตั้งเข้าไปดำรงตำแหน่งใดๆ ที่กินงินเดือนจากรัฐ ทั้งสิ้น)

รายละเอียดที่ทีมผู้บริหารและหัวหน้าโครงการสำรวจของ ม.หอการค้า ระบุว่าพฤติกรรมคอรัปชั่นส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจทุกๆ ๖ เดือนเมื่อครั้งที่แล้ว (เดือนมิถุนายน) หรือแย่ลงหนึ่งขีดขั้น บางกรณีเพิ่มขึ้น “สัดส่วนสูงสุดในรอบ ๓ ปี นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๘” ล้วนอยู่ในขอบข่ายการครองเมืองของ คสช. ทั้งนั้น

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้ร่วมแถลงผลสำรวจตั้งข้อสังเกตุถึงการจัดอันดับภาพลักษณ์การคอรัปชั่นในประเทศต่างๆ โดยองค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือ ‘Transparency International’ ครั้งต่อไปที่จะออกมาในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์นี้ อันเป็นที่ทราบกันดีว่าครั้งที่แล้วประเทศไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายๆ แย่มาก

เขาตั้งความหวังให้ สนช.ผ่านร่างกฎหมาย “ที่ดูแลเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือผลประโยชน์ทับซ้อนออกมา” ว่าจะช่วยลดการคอรัปชั่น “รวมถึงจะสามารถสร้างความชัดเจนและตอบคำถามสิ่งที่เคยเกิดมาแล้ว” ด้วยได้


กระนั้นก็ตาม น่าจะเป็นความหวังที่ ลมแล้ง อยู่พอดู เมื่อพิจารณาจากความประพฤติของบรรดาสมาชิก สนช. ในกรณีออกใบอนุญาตให้ตนเองไปทำธุรกิจหาลำไพ่ในเวลาราชการได้

หรือไม่ก็กลับกันแบบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายตำรวจใหญ่ลิ่วล้อ คสช. อีกคนที่บอกว่าเล่นหุ้นเป็นงานหลัก แต่กินเงินเดือนเรือนแสนในตำแหน่ง ผบ.ตร. เป็นเพียง ไซ้ด์ไลน์เท่านั้น

แม้นว่านายมีชัย ฤชุพันธ์ ลิ่วล้อบริกรคนสำคัญในการออกกฎบังคับให้แก่ คสช. ใช้กดหัวประชาชน (โดยเฉพาะพวกที่ได้ชื่อว่า นักการเมือง) จะมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีลิ่วล้อ คสช.เล่นหุ้นต่างกรรม แต่ลม้ายคล้ายคลึงกัน
 
“กล่าวถึงกรณีที่ นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัญญาสัมปทานและเป็นคู่สัญญากับรัฐ โดยถือครองหุ้น เอสซีจี ของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด จำนวน ๕ พันหุ้น”

ว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า รัฐมนตรีที่มีหุ้นครอบครองอยู่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง “ไม่ได้อยู่ในข่ายต้องห้าม...แต่หากจะถือครองหุ้นภายหลังเข้ารับตำแหน่งนั้น ทำไม่ได้”

อย่างไรก็ดีในกรณีผู้ถือครองหุ้นอยู่แล้วต้องพิจารณาขายหุ้นนั้นออกไปเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้าหากจำนวนหุ้นนั้นมากพอก่อให้เกิดผล (น้ำหนัก) ในการออกเสียงในที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัทได้


นายมีชัยว่า “หากเป็นหุ้นที่มีอยู่จำนวนไม่มากได้กำไรเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร” นี่ก็อีกตัวอย่างของการตีความเข้าข้างพวกกันเอง เพื่อประโยชน์ของลิ่วล้อและลูกไล่ คสช. (ก็ว่าได้) แล้วทำไมไม่ตีความตรงตามตัวบทให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

ถ้ามีแค่ ๕ พันหุ้น แต่เวลาบอร์ดบริษัทจะตัดสินอะไรก็แอบมาถามความเห็นก่อนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีของ คสช. ล่ะ หรือว่าถ้ามีเป็นล้านหุ้น แต่ขอสละสิทธิไม่โหวตในการประชุมบอร์ด ซึ่งกรรมการก็มักจะมาถามความเห็นก่อนโหวตเหมือนกันล่ะ

พูดจาภาษากฎหมายมีทั้งดิ้นได้ บิดได้ และ ตงฉิน ก็ได้ การปกครองด้วยกฎหมายไม่ได้ก่อให้เกิดความยุติธรรมหรือเที่ยงตรงเสมอไป

เมื่อพูดถึงกฏเกณฑ์สำหรับการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและ/หรือเป็นชาติ จะถือปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ถ้ากฎหมายนั้นไม่ผ่านการอนุมัติของประชาชนเสียงส่วนมาก

หลักการที่ดีที่สุดควรอยู่ที่ ให้เสียงส่วนใหญ่ได้รับการเคารพก่อนกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายเขียนโดยพวกคนส่วนน้อยที่ใช้กำลังยึดเอาอำนาจไปครอง