วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 15, 2561

‘อุ่นไอรัก’ กุ๊กกิ๊ก กับมาตรฐานอากาศ กิ๊กก็อก


เอาแต่ อุ่นไอรักกุ๊กกิ๊กกันอยู่นั่นแหละ บิ๊กตูบกะบิ๊กแป๊ะ ชาวบ้านจะพาลอดตายกันถ้วนหน้าไม่ช้าหรอก สัญญานไม่ดีตั้งแต่ต้นปีเลยเชียว

สำนักสถิติฯ เผยตัวเลขว่างงานเดือนมกราคม ๖๑ หนักกว่าปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับตัวเลขเมื่อมกราคม ๖๐ ไทยมีคนว่างงานเพิ่มอีก ๔ แสน ๗ หมื่นกว่า ถ้าวัดเฉพาะจากเมื่อเดือนธันวา ๖๐ ถึงสิ้นมกรา ๖๑ ก็จะมีคนว่างงานเพิ่มจากเดิม ๑ แสน ๑ หมื่นกว่า

(รายละเอียดที่ https://www.thairath.co.th/content/1204452)

ซึ่งการว่างงานก็เป็นดัชนีสำคัญในการมองภาพเศรษฐกิจประเทศโดยรวม ที่ Council on Foreign Relations หรือสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่า
 
“ขณะที่เศรษฐกิจไทยแสดงถึงการฟื้นตัว แต่นโยบายของรัฐบาล คสช.กลับสร้างความเจริญเติบโตได้น้อย ในนอกพื้นที่กรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ซึ่งรัฐบาล คสช.มีแผนกระตุ้นการลงทุนขนานใหญ่”


นโยบายหรือโครงการของรัฐบาลย่อมสะท้อนสมรรถภาพ วิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพของคนที่อยู่ในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะตัวหัวหน้ารัฐบาล และแน่ละประสิทธิภาพในการทำงานของคนในทีมรัฐบาลเหล่านี้ จะเป็นเครื่องชี้บอกว่าประเทศว่าก้าวหน้าหรือล้าหลังด้วย

ความที่เป็นคนช่างพูด เมื่อวันก่อนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดถึงรายงานของกรมควบคุมมลพิษ เรื่องปริมาณฝุ่นละอองในพื้นที่ กทม. ซึ่งพบว่า เกินค่ามาตรฐาน เป็นจำนวนมาก ว่าเกิดจากการเผาฟางและไม้แห้ง อันเป็นการนำประสบการณ์ที่ได้เห็นจากข่าวการเผาหญ้าของชาวไร่ชาวนาในภาคเหนือมาอ้าง

มาวานนี้นายธารา บัวคำศรี ผอ.กรีนพี้ชประจำเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้ออกมาตอกหน้าบิ๊กตูบอย่างแรง “เวรกรรมประเทศไทย รอบๆ กรุงเทพฯ ไม่มีจุดความร้อนสักนิดเดียว พูดไปเรื่อย เขาหมายถึงการตรวจสอบทางอีเล็คโทรนิค

ซึ่งตามรายงานระบุว่า “ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประจำวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ เวลา ๑๒.๐๐ น. ตรวจวัดได้ระหว่าง ๕๖๘๓ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐาน ๖ พื้นที่...โดยปริมาณฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสถานี”

ทั้งที่ “ในช่วงนี้จุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียมยังไม่พบในเขต กทม. และปริมณฑล แถมกรมควบคุมมลพิษบอกว่ายังทำให้ดัชนีคุณภาพอากาศทันสมัยไม่ได้ ต้องรอไว้ชาติหน้าตอนเย็นๆ อ้าวไหนว่ายุค ๔.๐”

ผู้อำนวยการภูมิภาคขององค์กรปกป้องสภาพแวดล้อมที่ได้รับการยกย่องทั่วโลก ยังกล่าวในเชิงชักนำให้นายกรัฐมนตรีประเทศไทยกลับจากการ ย้อนยุค มาสู่เทคโนโลยี่ ๔.๐ ว่า

“มันพลิกโลก เราสามารถรู้แบบ real-time ได้ว่าคุณภาพอากาศในขณะนี้ดีหรือไม่ จะมีผลต่อสุขภาพเราอย่างไร และเราควรดูแลตัวเองอย่างไร...

วันนี้ Sensor มือถืออันทันสมัย (ซึ่งได้รับการ calibrate ให้กับอากาศเมืองไทยแล้ว)...เราไม่ต้องไปพึ่งหน่วยงานรัฐที่ไม่มีน้ำยา ไถสีข้างกันไปวันๆ”


มิใยที่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษจะพยายามแก้ต่างว่า ดัชนีการวัดค่าคุณภาพอากาศ หรือ เอคิวไอของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เช่นอัตราฝุ่นละอองขนาดจ้อย (ไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน) ในสหรัฐใช้มาตรฐาน ๓๕ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ภายใน ๒๔ ชั่วโมง เป็นขีดอันตราย (สีแดง)

ขณะที่ไทยใช้มาตรฐาน ๕๐ มคก./ลบม. ภายใน ๒๔ ชั่วโมง ถึงจะถือว่าเป็นขีดอันตราย ทำให้นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อ้างว่า “ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้”

สมแล้วที่นายธาราบอกว่าเอาสีข้างถูไถ ในเมื่อกรีนพีชซึ่งมีหน่วยงานอยู่ทั่วโลกใช้ดัชนีวัดค่าแบบสหรัฐ ย่อมแสดงว่าเป็นมาตรฐานสากลที่ประเทศไทยควรจะคล้อยตาม

แม้นว่าคุณภาพอากาศจะไม่อาจเหมือนกันได้หมดทั่วโลก ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ แต่มาตรฐานวัดก็ควรที่จะเทียบเคียงกันได้ ประดุจดังปรอทวัดอุณหภูมิมีจุดเยือกอยู่ที่ ๐ องศาเซลเซียส กับ ๒๒ องสาฟาเรนไฮ้ท์

ทั้งที่ตัวเลขไม่เหมือนกัน แต่จุดเยือกอยู่ที่เดียวกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าคุณภาพอากาศเกิน ๓๕ ตามมาตรของกรีนพี้ช ย่อมเกิน ๕๐ ตามมาตรวัดของไทย ความต่างของตัวเลขไม่ได้เปลี่ยนความจริงในคุณภาพอากาศว่าแย่มากเกินไปได้