วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 23, 2561
ทำตัวเป็นกูรูประชาธิปไตย... คสช.ส่งทหาร-เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่กว่า 83,000 แห่งทั่วประเทศ ปลูกฝัง "ประชาธิปไตยไทยนิยม"
เริ่มแล้ว!!! คสช. ส่งคนลง 83,000 พื้นที่ทั่วประเทศล้างสมองปลูกฝังไทยนิยม!!!
BY BOURNE ON FEBRUARY 21, 2018
ISPACE THAILAND
เป็นที่รู้กันมาสักระยะหนึ่งแล้วกับโปรเจ็กต์ไทยนิยมยั่งยืน ของรัฐบาลคสช. ที่ต้องการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ซึ่งหน่วยงานที่เป็นแม่งานสำคัญก็คือ กระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
สำหรับโปรเจ็กต์ไทยนิยมยั่งยืนนั้นมีกลไกการขับเคลื่อนประกอบด้วย 3 คณะกรรมการ และ 1 ทีมขับเคลื่อน ได้แก่ 1.คณะกรรมการอำนวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน มี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นประธาน 2.คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับจังหวัด/กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือปลัด กทม. เป็นประธาน 3.คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ระดับอำเภอ/เขต และ 4.ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตำบล/ชุมชน และชุมชนในกรุงเทพฯ โดยทีมขับเคลื่อนจะมีจำนวน 7-12 คน ประกอบด้วย ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ปราชญ์ชาวบ้าน จิตอาสาในพื้นที่โดยจะมีการทำงานร่วมกับชุดวิทยากรของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) จำนวน 100 ชุด และคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ได้มอบนโยบายแก่ผู้ว่าฯและนายอำเภอทั่วประเทศ โดยระบุว่า ไทยนิยม คือ การขับเคลื่อนระดับพื้นที่ ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีอยู่แล้ว แต่ทำมาให้มันครึกครื้น ให้มีวาระ ให้มันตื่นตัวกันหน่อย เพื่อหวังผลให้เกิดกับประชาชน มุ่งผลสัมฤทธิ์
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องที่เป็นปัญหา เช่น เรื่องของประชาธิปไตย เป็นเงื่อนไขของไทยในปัจจุบันนี้ เป็นเงื่อนไขถึงขนาดว่าประเทศชาติเกือบจะวิกฤต ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราติดอยู่กับเรื่องนี้ กับเปลือกของประชาธิปไตย ว่า ต้องมีเลือกตั้ง ต้องมีเลือกตั้ง?ผมยืนยันว่าประเทศไทยต้องมีเลือกตั้ง ต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องเลือกตั้งแน่นอน แต่ผมไม่คิดแค่นั้น
“ลงไปสอนเรื่องประชาธิปไตย ประเทศจะเจริญอยู่ที่รัฐบาล อยู่ที่การเมือง ฉะนั้นรัฐบาลจะดีได้ อยู่ที่เลือกตั้ง เราต้องมีประชาธิปไตย เราต้องมีรัฐบาล เราต้องมีเลือกตั้ง…จุดสำคัญอยู่ที่การเลือก ต้องเลือกเป็น ต้องเลือกคนดีและคนเก่ง สอนแค่นั้น เพื่อไปสู่ประชาธิปไตย จะได้มีสิทธิและเสรีภาพ นั่นคือ แก่นของประชาธิปไตย แต่ถ้าท่านให้เขามาซื้อเสียง แก่นมันไม่ใช่ประชาธิปไตย มันเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
โดยการดำเนินการขับเคลื่อนนี้ครอบคลุมทุกพื้นที่ 76 จังหวัด 878 อำเภอ และพื้นที่ กทม. 50 เขต ทีมขับเคลื่อนฯ 7,663 ทีม พื้นที่ดำเนินการ 83,151 แห่ง ซึ่งชุดปฏิบัติการจะมีการนำชุดความรู้ทั้ง 10 ชุดประกอบด้วย สัญญาประชาคมถูกใจไทยเป็นหนึ่ง,คนไทยไม่ทิ้งกัน,ชุมชนอยู่ดีมีสุข,วิถีไทยวิถีพอเพียง,รู้สิทธิรู้หน้าที่รู้กฎหมาย,รู้กลไกการบริหารราชการ,รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม,รู้เท่าทันเทคโนโลยี,ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด,งานตามภารกิจของทุกหน่วยงาน ไปเผยแพร่กับประชาชน
และจะเริ่มลงพื้นที่ครั้งแรก วันที่ 21 กุมภาพันธ์-20 มีนาคม 2561 ครั้งที่สอง 21 มีนาคม-10 เมษายน 2561 ครั้งที่สาม วันที่ 11-30 เมษายน 2561 และครั้งที่ 4 วันที่ 1-20 พฤษภาคม 2561
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วว่า “ประชาธิปไตยฉบับไทยนิยม” นั้นคืออะไร หน้าตาเป็นแบบไหน? เรื่องนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯเคยให้นิยามเอาไว้ว่า ประชาธิปไตยเหมือนทุเรียน เหมือนสับปะรด ประชาธิปไตยมีเปลือก เปลือก คือ กระบวนการ หมายถึง การเลือกตั้ง
“กระบวนการเลือกตั้งก็เหมือนเปลือกทุเรียน ถ้าพอใจแค่นี้ก็จะได้แต่หนามทุเรียน ตาสับปะรด แล้วเมื่อไรจะได้กินเนื้อสับปะรด เนื้อทุเรียน อะไร คือ เนื้อทุเรียนของประชาธิปไตย คำตอบ คือ การเคารพเสียงข้างมาก การเคารพประชาชน การมีสิทธิและเสรีภาพ การมีวัฒนธรรมทางการเมือง การรักชาติ ความเสียสละ ความมีระเบียบ วินัย นี่ต่างหาก คือ เนื้อหาของประชาธิปไตย” นายวิษณุ ระบุ
เมื่อได้ฟังคำนิยามจากนายวิษณุแล้ว ก็เหมือนว่าจะดูดี คล้ายว่ารัฐบาลคสช. นั้นคือผู้รู้จริง เป็นกูรูของประชาธิปไตย แต่เมื่อมองภาพความเป็นจริงนั้นต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลคสช. คือรัฐบาลทหาร ที่เข้ามาสู่อำนาจโดยการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กฎหมายรัฐธรรมนูญรวมถึงกฎหมายอีกหลายฉบับที่กำลังร่างอยู่นั้นมีที่มาจากคณะรัฐประหาร ไม่ได้มาจากประชาชนหรือระบบประชาธิปไตย
อีกทั้งท่าทีของรัฐบาลคสช. ที่ใช้อำนาจทางกฎหมายเผด็จการดำเนินคดีกับประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ต่างก็เป็นสิ่งที่ขับกับหลักการด้านสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย
จริงอยู่การเลือกตั้งอาจไม่ใช่แก่นแท้ของประชาธิปไตย แต่ก็เป็นสิ่งที่ระบบประชาธิปไตยนั้นขาดไม่ได้ ในขณะที่แก่นแท้ของประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ สิทธิอันเท่าเทียมกันของประชาชน อำนาจการบริหาร อำนาจการร่างกฎหมายที่ต้องมาจากประชาชน มีประชาชนเป็นส่วนร่วม
คำถามก็คือ วันนี้ประเทศไทยมีแก่นแท้ของประชาธิปไตยแล้วหรือไม่? ประชาชนมีสิทธิในการร่างกฎหมาย ใช้อำนาจบริหารประเทศหรือยัง? รัฐบาลคสช.ซึ่งอ้างตัวเป็นผู้วางรากฐานประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทยมีที่มาจากประชาธิปไตยหรือไม่?
ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ จะหวังอะไรกับประชาธิปไตย ที่มาจากมือเผด็จการ??? การลงพื้นที่ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากการล้างสมองประชาชนเพื่อหวังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป!!!
Reference
https://www.khaosod.co.th/politics/news_761321
https://www.prachachat.net/politics/news-117240