วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 23, 2561

อย่าง 'ชัย ราชวัตร' นี่ควรเรียก 'สลิ่ม' ต่อไปไหม

อันเนื่องมาแต่ไปดูเขาถกและเถียงกันระหว่างผู้ใช้นาม Dvibhadr Bundrikswast กับ Somsak Jeamteerasakul ในเรื่องที่ บก.ลายจุดหรือสมบัติ บุญงามอนงค์ เสนอให้เลิกใช้คำว่า สลิ่ม’ “ทิ่มแทงอีกฝ่ายทางการเมืองแบ่งสี เหลือง-แดง

ต้นเรื่องที่นี่ https://www.facebook.com/Dvibhadr.Bundrikswast/posts/1616981728337747 มี ๔๑ คอมเม้นต์ ตามด้วยที่นี่ https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/1565551920164748 อีก ๗๐ คอมเม้นต์

สรุปคร่าวๆ ว่าคุณทวิภัทรแกไปโต้ บก. ว่านั่นไม่ใช่การพยายามจะลบ วาทกรรม แบ่งแยก หากแต่ช่วยสนับสนุนวาทกรรมลอยนวลพ้นผิด หรือ ‘impunity’ นั่นเชียว

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็เลยยกเอาไปตั้งกระทู้ใหม่แย้งกลับทวิภัทรบ้าง ประมาณว่าวาทกรรมสลิ่มนั้นเป็น ปัญหาเรื่องการสร้าง "เอกลัษณ์/อัตลักษณ์ รวมหมู่" คราวนี้เลยเถียงกันยาว
ถึงอย่างนั้น สศจ. ยืนยันว่า มีผลเสียของการสร้างเอกะ/อัตตะ (ลักษณ์’) รวมหมู่ ทั้งที่สร้างให้เขาและสร้างเพื่อเรา “ประเด็นสำคัญมากคือไอเดียเรื่อง ยังไงก็ไม่เปลี่ยน’ ‘ไอ้พวกสลิ่มนี้โง่ยังไงก็โง่อย่างนั้น ให้ตายก็ไม่มีวันเปลี่ยน ต้องชาติหน้า (ซึ่งดังที่ผมเคยพูดมาก่อน น่าเสียดายที่คนอย่างคุณ ใบตองแห้ง ที่ผมชอบพออยู่ จนป่านนี้ก็ยังชอบเขียนแบบนี้ประจำ)”

ที่ยกเอามาเปิดเบิ่งตรงนี้มิใช่ต้องการร่วมอภิปรายด้วยว่าควรหรือไม่ควรใช้คำ สลิ่ม เรียกคนไทยด้วยกันที่ยังนิยมเผด็จการ คิดว่าคนบ้านนอกหรือผู้ประกอบอาชีพทำไร่ไถนา เป็นหนุ่มเป็นสาวโรงงาน ซ้ำยังชอบนโยบายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และชื่นชมอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหลายครั้งหลายคราวเรียกคนเหล่านั้นว่า ควายแดง

หากแต่การใช้คำ สลิ่ม เรียกกลุ่มคนที่ปักใจหัวทิ่มหัวตำจงเกลียดจงชัง ระบอบทักษิณ(นี่ก็วาทกรรม) ดูหมิ่นดูแคลนคนที่ไม่รังเกียจหรือแม้แต่ชอบระบอบทักษิณ และตั้งท่าฟาดฟันทุนสามานย์โดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมว่าในฝักฝ่ายของตนเองก็เต็มไปด้วยสิ่งนี้ (รวมทั้งที่ สศจ.บอกว่าเป็นสิ่ง มหึมา ซึ่งเขาโจมตีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วย)

ก็น่าจะยัง ฟังขึ้น ดังที่ทวิภัทรปรารภไว้ “ไม่ใช่มาด่าเรื่องนาฬิกาสองสามวัน ก็นับว่าก้าวหน้าแล้ว ไม่สลิ่มแล้ว” หรือเพียงแค่ อิน กับกรณี #ป้าทุบรถ ก็ควรพร้อมอ้าแขนรับ ดูได้จากราย ชัย ราชวัตร เป็นอาทิ

เห็นมีคนเก็บเอาข้อความที่เขาเขียนเกี่ยวกับกรณีที่กำลังโด่งดังและได้รับการขยายผลออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา จนทำให้เครือข่ายรัฐบาล คสช. ออกมา ล้อมคอก กันขนานใหญ่

การ์ตูนิสต์ชื่อก้องของเมืองไทย (ทำนองเดียวกับนักแต่งเพลงชื่อดัง) บอกว่า “อยากให้ลุงตู่เด็ดขาดอย่างคุณป้าที่สวนหลวง ขวาน จามขยะสังคมไม่ไว้หน้า แล้วจะอยู่ในอำนาจอีกกี่ปีผมก็ยอม”

อย่างนี้จะจัดรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกับ ดี้ ได้ไหม ที่ไม่ควรไปเหมารวมว่าเขาเป็น สลิ่มอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้หรือไม่ แม้นว่าดี้ยังตั้งหน้าต้านเผด็จการ แต่ชัยกลับแสดงเหมือนต้องการให้อยู่ต่อ ทั้งที่ในเนื้อแท้ของความคิดนั้นอาจเป็นเพราะสำคัญผิดในข้อเท็จจริงบางประการ

ประการแรกคือป้าสวนหลวงแกไม่ได้เด็ดขาดหรอก ถ้าอุตส่าห์ทนมาได้ตั้งสิบปี แต่ที่ทำไปเพราะถึงที่สุด เหมือนถูกต้อนเข้ามุม จะให้รอวาระสุดท้ายโดยดุษฎีกระนั้นหรือ อีกอย่างน่าจะเพราะว่าชัยสำคัญผิดว่าเจ้าของตลาดที่ทำความเดือดร้อนให้ป้า เป็นเครือข่ายทักษิณ
 
มีคนโยงนางพัชรี เจียรวนนท์ เจ้าของตลาดยิ่งนรา หนึ่งในหกตลาดละแวกนั้น และที่ตั้งไกลจากบ้านป้ามากเทียบกับตลาดอื่นๆ เกือบจะไกลที่สุด เป็นภรรยานอกสมรสของนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองลงรูปถ่ายคู่กับทักษิณที่ฮ่องกง

นอกจากนั้นโดยการขุดคุ้ยของสำนักข่าวอิศรา เจาะตลาดยิ่งนรานี้แห่งเดียวพบว่าลงทุนไป ๔๐ ล้านบาท แต่ผลประกอบการตลอดสี่ปีที่ผ่านมา กำไรสูงสุดเมื่อปี ๒๕๕๖ เพียง ๕๘.๒๗ บาท ต่ำสุดเมื่อปี ๕๘ แค่ ๑๗.๙๘ บาท น้อยกว่าปี ๕๙ นิดเดียวที่ ๑๘.๐๕ บาท


กลายเป็นข้อกังขาในทฤษฎีสมคบคิด หรือ ‘conspiracy theory’ ว่าเอ๊ะ แทบไม่มีกำไรเลยทุกปีอย่างนี้ แล้วทู่ซี้อยู่ทำไม แม้นว่า ผอ.เขตประเวศมีข้อคิดว่าที่ดินแถวนั้นเป็นทำเลทอง ถ้าตนเป็นเจ้าของเองคงขายได้เงินมหาศาลแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น

ส่วนที่อิศราไม่ได้ค้น แต่มีคนช่วยค้นมาแจ้งไว้ทางโซเชียลมีเดีย โดย @iiDudes ทวี้ตว่า “#ป้าทุบรถ แฉอดีตผู้ว่าฯ กทม. แอบแก้กฎหมายเอื้อนายทุน เอ๊ะ ในรอบ 10 ปีมานี้ ผู้ว่าฯ กทม.มีกี่คนคับ? แล้วสังกัดพรรคการเมืองไหนบ้างคับ? / คริ #ทุนสามานย์...
ตามหาชื่อว่าใครรับผิดชอบพื้นที่เขตประเวศ ก็ไล่มาตั้งแต่ สก.เขตประเวศ ก็พรรคประชาธิปัตย์ สส.เขตประเวศก็พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ว่าฯกทม. ก็พรรคประชาธิปัตย์ เห้อสงสาร #ป้าทุบรถ จริงๆ คับ ต้องต่อสู้กับกลุ่มทุนสามานย์ / คริ”

เวลานี้ผู้ว่าฯ กทม.ก็เลยสั่งการใหญ่โต “สั่งปิดตลาด ๓ แห่งรอบบ้านคุณป้า ได้แก่ ตลาดสวนหลวงที่ขออนุญาตก่อสร้างอาคารแต่ไม่ขออญาตจัดตั้งตลาด ตลาดรุ่งวานิชย์และตลาดร่มเหลืองซึ่งไม่มีใบขออนุญาต”
 
นอกนั้น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ยังมอบหมายให้ปลัดกทม. สั่งการทุก ๕๐ เขต ตรวจหาตลาดที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้ง พบว่าในจำนวนตลาดนัดทั้งสิ้นใน กทม. ราวพันแห่งมีเพียง ๓๖๔ แห่งเท่านั้นที่มีการขออนุญาต

และในบรรดาตลาดที่มีการขออนุญาตแล้วเหล่านั้น ยังมีที่ไม่ผ่านเกณฑ์รับรองด้านสุขาภิบาลต่างๆ ถึง ๑๓๗ แห่ง


นี่ละเป็นเรื่องย้อนแย้งภายในสังคมไทยเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคล สิทธิพลเมือง และเสรีภาพของมวลมหาชน ที่เป็นความสับสนในด้านจิตสำนึกทางการเมืองของประชากร ในเมื่อเราเชิดชูหลักประชาธิปไตย แต่กลับละเว้นเรื่องการมีสิทธิเท่าเทียม ยอมสยบนบนอบแก่ชาติกำเนิด การศึกษา ยศตำแหน่ง และฐานะทางการเงิน

การแก้ไขโดยเพียงให้ฝ่ายหนึ่งวางอุเบกขากับลักษณะก้าวร้าวของอีกฝ่าย (ในอเมริกาตลอดปีที่ผ่านมาก็เกิดปรากฏการณ์ทำนองคล้ายๆ กัน ที่เรียกว่า ‘trumping’) ด้วยการยุติเรียกคนเหล่านั้นว่า สลิ่ม จะได้ผลนักหรือ

แล้วถ้าอีกสี่ซ้าห้าปีฝ่ายนั้นก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ภายใต้การครอบครองยืดยาวของระบบ คสช. ล่ะ มันไม่เป็นการ บีบคั้นฝ่ายนี้ให้ต้องจำยอม และต้องเก็บกดต่อไปอีกกี่ปีกี่ชาติหรือ