ที่มา ที่นี่และที่นั่นวันนี้
March 31, 2015
การโยนความผิดให้กับ “รัฐบาลก่อนหน้า” ดูเหมือนจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของ “รัฐบาลคณะรัฐประหาร คสช.” ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เสียแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการเมือง หรือแม้แต่ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน เมื่อ “หัวหน้ารัฐบาล” ได้ โยนความผิด ไปให้ใครสักคนหนึ่ง ก็จะทำให้ “บุคลากรภายในรัฐบาล” รู้สึกว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลชุดปัจจุบันรู้สึกผ่อนคลาย ราวกับปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วเสร็จลุล่วง !
ซึ่งก็รวมไปถึง “ปัญหาการค้ามนุษย์”ซึ่ง “ไทย” ได้ถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี หรือTrafficking in Persons Report (Tip Report)ระดับสุดท้ายคือ “ระดับ 3 (Tier 3) หมายถึงประเทศที่ไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันช่วยเหลือเหยื่อหรือจับกุมผู้ ค้ามนุษย์
สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ขึ้นบัญชีดำและตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (จีเอสพี ) สินค้า ในช่วง “รัฐบาล คสช.”
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2558 ที่ท่าอากาศยานขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ดอนเมือง“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวอ้างถึงการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์นั้นเพิ่งเริ่มต้นอย่างจริงจังในช่วงรัฐบาลชุดนี้
“ขณะนี้เพิ่งจะออกมา โดยรัฐบาลนี้ที่ออกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ฉบับที่ พ.ศ. …”
ซึ่งนี่คือคำพูดที่ชัดๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สื่มวลชนไทยทุกสำนักนำเสนอ ( อ่านข้อความฉบับเต็มได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/489903)
แต่ในข้อเท็จจริงดูเหมือนจะยัง “ขัดแย้ง” กับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวอย่างมาก โดยเมื่อตรวจสอบจาก “ราชกิจจานุเบกษา” พบว่า ใน ประกาศราชกิจจานุเบกษา หน้า 28 เล่ม 125 ตอนที่ 29 ก วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 ได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551”
โดย “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551” ซึ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้มาก่อนจะมีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น มีความครอบคลุมการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากบุคคลที่มิได้จำกัดแต่เฉพาะหญิงและเด็ก ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การนำบุคคลเข้ามาค้าประเวณีในหรือส่งไปค้านอกราชอาณาจักร และการบังคับใช้แรงงาน บริการหรือขอทาน บังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้า หรือการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบประการอื่น ซึ่งในปัจจุบัน ได้กระทำในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยได้ลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก เพิ่มเติมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต้อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร จึงสมควรกำหนดลักษณะความผิดให้ครอบคลุมการกระทำดังกล่าวเพื่อให้การป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญาและพิธีสารจัดตั้งกองทุน เพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งปรับปรุงการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหาย ให้เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เสียหาย
ซึ่งชัดเจนว่า “พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551” ประกาศใช้ก่อนที่ “คสช.” จะทำการรัฐประหาร และก่อนที่จะก่อกำเนิดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะเดียวกัน กรณีนานาชาติ ขึ้นบัญชีดำ และจัดอันดับการค้ามนุษย์ของไทยอยู่ที่โหล่ เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง “รัฐบาลเผด็จการรัฐประหาร” ชุดนี้!!