วันพุธ, มิถุนายน 10, 2563

พิลึกพิลั่น รัฐบาล คสช.๒ ทำตัวเป็น 'ลิ่วล้อมาเฟีย' ทั้งที่กัมพูชายังมีเหนียงอาย


พิลึกพิลั่นเสียจริง กับรัฐบาล คสช.๒ กรณีอุ้มหายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถชนิดปากถากพื้นว่า ไม่รู้เขา (ต้า) เป็นใคร ทำไมหนีไปกัมพูชา เป็นนายกฯ ก็ต้องเรียนรู้ที่มาในเมื่อข้อหามาจากคำสั่งตนเอง

มันเป็นการบ่ายเบี่ยงให้ชาวบ้านจับได้ว่า เรื่องที่ลือกันลั่นว่าใครเป็นคนสั่งทำนั้น ท่าจะจริง อีกอย่างนะการปัดให้เป็นเรื่องของทางการเขมรเท่านั้น ให้สลิ่มเอาไปอ้าง ก็มั่วซั่วเสียจนคนร้องเฮ้ย เอ็งเป็นรัฐบาลหรือเป็นแค่ลิ่วล้อมาเฟีย

ขนาดรัฐบาลฮุนเซ็นเขายังหน้าบาง กร้อมแกร้มอ้อมแอ้มออกมาแล้ว เออวะ สอบก็สอบ โฆษกรัฐบาล Chhay Kim Khoeun บอกรอยเตอร์ว่า “เราจะทำการสอบสวนคดีนี้ ว่าข้อมูลที่มีการร้องเรียนกันนั้น เป็นความจริงหรือไม่”

รอยเตอร์แจ้งว่าโฆษกฯ พูดออกมาอย่างนั้นหลังจากที่มีการไปประท้วงกันที่หน้าสถานทูตในกรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ โดยระบุว่าทางการไทยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการอันหยามหน้ารัฐบาลกัมพูชาเช่นนั้น ซึ่งตำรวจไทยแถลงแต่แรกเลยว่า ไม่รู้ไม่ชี้

วันอังคาร พี่สาวของวันเฉลิมเดินทางไปร้องเรียนต่อกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนฯ รังสิมันต์ โรม ในฐานะโฆษกกรรมาธิการตอบว่า “แม้เหตุจะเกิดในต่างประเทศ แต่รัฐบาลไทยต้องทำหน้าที่ติดตามแสวงหาผ่านกระบวนการทางกฎหมายของประเทศ”
 
เนื่องจากเรื่องอย่างนี้มีข้อกังวลจากกรณีคล้ายคลึงกันที่ผ่านๆ มา ว่า “เรื่องจะค่อยๆ เงียบลงไป” ซึ่ง น.ส.สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าครอบครัวยังมีความหวัง “จะสามารถนำตัวนายวันเฉลิมกลับมาได้โดยเร็ว”

นอกจากนั้นพี่สาวของต้ายังอุตส่าห์ดั้นด้นไปยังกระทรวงต่างประเทศ “ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล” ให้ช่วยติดตามคดีหน่อย ทั้งที่เกิดคอมเม้นต์เซี้ยวๆ ว่าจะหวังอะไรได้หรือ ขนาดป้ายชื่อกรมยังเอียง

เธอยัง “ขอขอบคุณเด็กๆ ที่ตื่นตัวกับการหายตัวของนายวันเฉลิม จนกลายเป็นปรากฎการณ์ใหม่” อย่างน้อยๆ หลังจากที่เคยมีผู้ลี้ภัยไทยในประเทศเพื่อนบ้าน ถูกอุ้มหายมาแล้ว ๘ ราย (สองรายมีศพโผล่) ก็ยังเรื่องเงียบในวงกว้างจนบัดนี้

ความกระตือรือร้นของเยาวชนไทยกับเหตุอุ้มหายวันเฉลิม ทำให้ สนท. (สหภาพนักเรียน นักศึกษา) จัดกิจกรรมไปผูกโบว์ขาวกับเสารั้วกั้นรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย “เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวันเฉลิม” แต่ก็ถูกตำรวจเข้าสกัดอย่างท่วงที

“ตำรวจอ้าง พ.ร.บ.ความสะอาดฯ อีกครั้ง โทษมีแค่ปรับไม่แพงนักหรอก แต่หลักๆ คือต้องพยายามอ้างกฎหมายอะไรสักอย่างมาเพื่อหยุดกิจกรรมให้ได้” ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ แห่ง ไอลอว์ชี้เหตุ นักศึกษาทั้งสี่ที่ไปผูกโบว์จึงถูกตำรวจนำตัวไปโรงพักสำราญราษฎร์

แม้นว่าท้ายที่สุดนักกิจกรรมได้รับการปล่อยตัว โดยมีเพียงข้อหาทำให้ที่สาธารณะเปรอะเปื้อนด้วยป้ายโฆษณา มาตรา ๕๖ ปรับผู้ฝ่าฝืน ๕ พันบาท หลังจากคิดแล้วคิดอีกจะยัดความผิด พรก.ฉุกเฉินด้วยให้โทษหนักขึ้นไปอีกหน่อย


นั่นเป็นความอุกอาจของตำรวจ กทม.ที่ตำรวจภูธรพยายามเอาเยี่ยงอย่าง เมื่อมีรายงานเมื่อเช้าวานนี้ด้วยว่า “ตำรวจในเครื่องแบบ ๒ นายเข้าไปตรวจสอบการเสวนา สิ่งแวดล้อมหลังยุค #โควิด19 กับการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ ม.ขอนแก่น

คงเพราะคิดว่า “จะมีการมารวมตัวกัน” เมื่อไม่เจออะไร เพราะงานนี้เขาประชาสัมพันธ์ไว้เป็นมั่นเหมาะแล้วว่า “เป็นไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กในช่วงบ่ายนี้เท่านั้น” ตำรวจเหล่านั้นก็ไม่ได้หน้าม้านหรืออับอายอะไร เดินถ่ายรูปทั่วๆ แล้วกลับไปแจ้งนาย

อาการคุกคามประชาชน (ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าไม่ชอบรัฐบาล) เช่นนี้ กำเริบเสิบสานอย่างด้านๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมหนักข้อ ตอนที่ประกาศภาวะฉุกเฉินโรคระบาดโควิด-๑๙ นี่แหละ อย่าว่าแต่ชาวบ้านไพร่ฟ้าหน้าซีดเลย กระทั่งกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรยังไม่พ้น
 
ในการประชุมวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย จู่ๆ มีทหารเข้าไปเดินเก็บเอกสารที่สมาชิกได้รับแจกไว้ประกอบการพิจารณาเสียดื้อๆ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลบอกว่า แบบนี้ออกลาย แตะต้องไม่ได้

“ทหารเดินมาเก็บเอกสารกลับคืนทั้งหมด ทั้งที่ยังพิจารณาไม่ครบถ้วน ถือเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ” ตามข้อสังเกตุของ วรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ที่ปรึกษากรรมาฯ อย่างนี้เท่ากับ บ้านเมืองกลับไปอยู่ใต้อุ้งเท้าตำรวจ-ทหารอีกครั้งแล้วละ