วันเสาร์, มิถุนายน 13, 2563

ตำรวจเป็นได้แค่ขี้ข้าทหารเผด็จการหรอ... ทำไมไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เรื่องราวของนักศึกษาคนหนึ่ง ถูกตำรวจคุกคาม




“ความเปลี่ยนแปลงมันจะค่อยๆเกิดขึ้นได้ถ้าเราเริ่มลงมือ มันอาจไม่ได้เปลี่ยนที่ยุคเรา แต่อนาคตมันอาจจะเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่ผมเคลื่อนไหวผมเคลื่อนไหวบนความฝันว่า ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”
.
สราวุฒิ หรือนิว นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและสมาชิกสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยเป็นนักศึกษาอีกคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับการคุกคาม เขาเล่าว่า วันที่ 10 มิถุนายน 2563 เวลา 16.00 น. ตำรวจเข้ามาในชุมชนที่ยายของเขาอยู่ แต่ชุมชนดังกล่าวมียาเสพติดมันชุกชุมเขาจึงไม่เอะใจอะไร ตอนนั้นได้ยินเด็กในชุมชนพูดว่า ตำรวจเข้าๆ จากนั้นญาติผมเดินมาถามบ้านเลขที่ยาย ด้วยเขาไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมายใดๆจึงไม่ได้เอะใจอะไร
.
จากนั้นเวลา 01.00 น.ของวันถัดมาญาติเข้ามาคุยกับพ่อบอกให้เลิกยุ่งกับการเมืองซะ พ่อก็มาบอกเขาว่า ไม่ให้ยุ่งเรื่องการเมืองระบุเหตุผลว่า “ตำรวจเขาหมายหัวแล้ว” เมื่อได้ยินแบบนั้นเขายอมรับว่า รู้สึกตกใจ แต่ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกคุกคามหรือไม่ได้แปลกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่า หากเคลื่อนไหวทางการเมืองเขาอาจต้องเผชิญกับการคุกคาม
.
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นวันแรกที่สราวุฒิออกมาพูดเรื่องการเมืองในที่สาธารณะ เขายืนถือไอแพดและอ่านเนื้อหาที่เตรียมมาอย่างดี บางครั้งติดขัดเพราะความขัดเขินที่ต้องพูดท่ามกลางเพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันมากกว่า 200 คน แต่วันนั้นเขาใช้อารมณ์ขัน ประกอบกับเสียงเชียร์ของเพื่อนๆที่ไม่ว่าเขาจะพูดไม่คล่องแคล่ว พวกเขาก็ส่งเสียงเชียร์ผลักดันให้สราวุฒิพูดต่อจนจบไปได้ด้วยดี เขาจบวันด้วยความภาคภูมิใจ
.
หลังจากนั้นเขาไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่ก็มีการแสดงออกเรียกร้องอยู่บ้างบนโลกออนไลน์เรื่องการขอให้มหาวิทยาลัยลดค่าเทอม เขามองว่า สถานการณ์ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนรูปแบบการสอนมาเป็นการสอนออนไลน์แทน ซึ่งนั่นหมายความว่า นักศึกษาจะต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน แต่บางคนไม่ได้มีอุปกรณ์พร้อมรองรับการเรียนแบบใหม่ ดังนั้นการลดค่าเทอมจะช่วยลดภาระให้นักศึกษาและนำเงินส่วนต่างไปซื้อหาอุปกรณ์การเรียนได้
.
สราวุฒิเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักกิจกรรมว่า ในปี 2557 มีการรัฐประหาร ตอนนั้นเขาอายุ 15 ปียังไม่รู้อะไรนัก แต่เขาชอบการเมืองจึงติดตามศึกษาประเด็นทางการเมืองเรื่อยมาจนเห็นความพิลึกของระบบที่เป็นผลพวงของการรัฐประหาร จากนั้นจึงตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหว เขาบอกว่า การต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้สำเร็จในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อย่างน้อยเราก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของสังคมนี้
.
ที่ผ่านมามีบ้างที่คนรอบข้างมาบอกว่า “มึงจะสนใจทำไม นั่งเรียนๆเฉยๆไป” เราอธิบายไปว่า การเมืองเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรานะ มีผลต่อวิถีชีวิตไม่ว่าจะเศรษฐกิจ สังคมต่างๆ ก็ได้คำตอบว่า “ไม่ต้องสนใจหรอก เรียนไปหมดเวลาแล้ว” แต่เขาไม่ได้สนใจ
.
หลังเปิดตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองครอบครัวไม่ได้มีการห้ามปราม จนกระทั่งเมื่อวานนี้พ่อแม่เริ่มห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อย่างไรก็ตามสราวุฒิยืนยันที่จะเคลื่อนไหวต่อไป เขามองว่า “ความเปลี่ยนแปลงมันจะค่อยๆเกิดขึ้นได้ถ้าเราเริ่มลงมือ มันอาจไม่ได้เปลี่ยนที่ยุคเรา แต่อนาคตมันอาจจะเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่ผมเคลื่อนไหวผมเคลื่อนไหวบนความฝันว่า ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”