‘๑๑๒’ ของต้องห้าม
ที่เมื่อก่อนแม้แต่จะพูดถึงก็ต้องระวังโอษฐภัย ดังที่ สุณัย ผาสุข
ตัวแทนฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ประเทศไทยชี้ ว่าเดี๋ยวนี้แฮ้สแท็ก #ยกเลิก112 ติดเทร็นด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง ภายใน
๒๔ ชั่วโมงมีการทวี้ตซ้ำ ๔๒๗,๐๐๐ ครั้งเช้าวันนี้
แน่นอนว่าน่าจะเพราะเหตุการณ์อุ้มหายนักกิจกรรมสิทธิมนุษยชนไทย
ผู้ลี้ภัยคำสั่ง คสช.ในกรุงพนมเปญ ซึ่งฟันธงกันไปแล้วว่า วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
คงไม่รอด ด้วยเหตุจู่โจมลักพาตัวโดยกลุ่มติดอาวุธเช่นนี้ในลาว มีศพเป็นหลักฐานแล้วหลายราย
มิใยที่อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติจะแสดงความเห็นอย่างดูหมิ่นว่า
“วันเฉลิมเป็นใคร ทำอะไรผิดถึงต้องหนีไปอยู่กัมพูชา ความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์โทษน้อยมาก
เป็นใครสำคัญยังไงถึงต้องถูกอุ้ม” ก็ พรบ.คอมพิวเตอร์นี่แหละที่ใช้เล่นงานคนวิจารณ์สถาบันกษัตริย์
นันทิวัฒน์ สามารถ เขียนเฟชบุ๊คสาดเสียว่า “ชัดเจนแล้วหรือว่าถูกอุ้ม
หรือสรุปว่าตายแล้ว ด่วนสรุปเร็วไปไหม มาหมดทั้งเอ็นจีโอ กลุ่มสิทธิมนุษยชน
ทั้งกลุ่มนักเคลื่อนไหว เรียกร้องขอความเป็นธรรม เหตุเกิดในกัมพูชา
แต่มีคนเรียกร้องให้ทางการไทยชี้แจง”
อดีตทั่นรองฯ
คนนี้ถ้าไม่เป็นแบบเจ้าหน้าที่สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยฯ ประจำไทย เช่นที่ ศักดา
แก้วบัวดี เขียนเล่าคำบ่นของระดับสูงในหน่วยงานสหประชาชาติแห่งนี้ไว้ว่า “ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่คนไทยจะมาจากเด็กเส้น
มาจากลูกหลานคนใหญ่คนโต
ไม่ได้มีความรู้ในหน้าที่ของตนเอง บางรายไม่มีความรับผิดชอบในงานของตนเอง”
แถมคนเหล่านั้น “ส่วนใหญ่ออกไปเป่านกหวีดกันทั้งนั้นเลย”
จึงตอบข้อสงสัยได้อย่างดีว่า “ทำไม UNHCR
ถึงไม่สามารถช่วยเหลือผู้ลี้ภัยได้อย่างที่ควรจะเป็น”
เลยทำให้รองฯ คนนี้ไปไม่ถึงตำแหน่งผู้อำนวยการแล้วละก็
เขาก็ต้องเป็นพวกเป่านกหวีดที่มีปัญญาพอเป็นเจ้าเล่ห์ปกป้องรัฐบาลสืบทอดอำนาจ คสช.
ไม่ลืมหูลืมตา และแม้กระทั่งศรัทธา ‘บอด’ สนิท คลั่งไคล้สถาบันฯ ชนิดกู่ไม่กลับ
หากเขาจะสอดส่องหาข้อมูลความรู้ปัจจุบันจะทราบว่า
วิธีการปราบคนเห็นต่างของผู้ครองอำนาจรัฐไทยเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีการใช้กฎหมายอาญามาตรา
๑๑๒ ตีหัว ‘ขังก่อนสอบ’ แต่ (ถ้าเป็นในประเทศ) ใช้วิธีไปเยี่ยมถึงบ้าน หรือเรียกไปคุยแล้วทำ ‘เอ็มโอยู’ สารภาพผิด สัญญาจะไม่ทำอีก
แบบนั้นเกิดขึ้นเยอะ สื่อ ‘ประชาไท’ ขวัญใจประชาชนทำรายงานไว้ละเอียดโจ่งแจ้งและเจาะจง
ว่าใช้ทั้งข้อหามาตรา ๑๑๖ “ยุยงปลุกปั่น” คู่ขนานไปกับ “การนำตัวไปซักถาม
ขอดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ขอรหัส หรือสั่งให้ลบโพสต์”
ปัญหาก็คือ “การไปเซ็นแล้วนั้นทำให้เขาได้หลักฐาน
และบุคคลเหล่านั้นไม่ทราบว่าในอนาคตจะถูกดำเนิน การอะไร
เนื่องจากสิ่งที่ไปเซ็นนั้นอาจจะเป็นหลักฐานมัดในภายหลังในการดำเนินคดี”
อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ Pavin Chachavalpongpun อ้างไว้
วิเคราะห์ในบทความวิชาการของเขา วิธี
“จัดการกับผู้เห็นต่างในประเทศ ไม่ใช่ ๑๑๒ แล้วค่ะ แต่ใช้ พรบ. คอมฯ
รวมไปถึงการตั้งกลุ่ม vigilante ต่างๆ
ไว้คอยล่าแม่มด และสร้างความกดดันทางครอบครัวและที่ทำงาน”
แต่สำหรับพวก dissidents
ที่ต่อสู้กับรัฐไทยกึ่งเผด็จการหลังการยึดอำนาจโดยคณะทหารเมื่อพฤษภา
๕๗ หลายราย (นับกันไว้อย่างน้อย ๘) ต้องจบชีวิตด้วยการล่าสังหารโหดอย่างหยามหน้าในประเทศเพื่อนบ้าน
ที่แค่เบาะๆ ก็เกือบไป เช่นที่กลุ่ม ‘ไฟเย็น’ ในฝรั่งเศสเจอ
ซึ่งนันทิวัฒน์ถามว่า “สำคัญยังไงถึงต้องถูกอุ้ม”
น่ะ คงต้องเอาคำของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มาตอบว่า “ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ ก่อนสิ”
แล้วจะเปิดเบิ่งให้เห็นความเหี้ย มของคนสั่งการอุ้มฆ่า ทั้งที่เมื่อปี ๒๕๖๐
สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ไทยยกเลิกกฎหมาย Lèse-majesté ไว้แล้ว
อย่างไรก็ดีกรณีล่าสุดเกี่ยวกับ ‘วันเฉลิม’ ในฝ่ายรัฐทั้งไทยและเขมรเงียบกันหมด
ทางไทยนั้นทำไม่รู้ไม่ชี้ได้เหมาะเจาะ เพราะรัฐไทยไม่ยอมให้สัตยาบัน
(หรือเข้าเป็นภาคีอย่างทางการ) ต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศคุ้มครองการบังคับสูญหาย
มา ๘ ปีแล้ว
“แม้ว่าประเทศไทยจะได้ลงนามในสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว
ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๐๑๒” ทว่าไม่ได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีเสียที โดยเฉพาะช่วง
๕-๖ ปีที่มีคณะทหารนักยึดอำนาจปกครองมา แม้นว่าฝ่ายเขมรนั้นได้เข้าสู่ ‘ภาคยานุวัติ’ (accession) ของสํญญาแล้ว
(https://www.facebook.com/takeawalktalkinternationallaw/photos/a.1946524328980954/2367205976912785/,
https://thediplomat.com/2020/06/a-softer-approach-from-thailands-sophisticated-monarch,
https://prachatai.com/journal/2019/11/85172, https://prachatai.com/journal/2020/06/88024 และ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10157063485300264&set=a.10150333905290264)
ทางที่เหลืออยู่ในอันที่จะแก้ไขอาการแหพันกันยุ่งเหยิงทางกฎหมายระหว่างประเทศ
เรื่องอุ้มหายผู้ลี้ภัยยังพอมี พอดีกับที่ ‘โบว์’
ณัฏฐา มหัทธนา โพสต์ภาพน่าประทับตา เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสิริพัชร
ที่ทั่วไปรู้จักในนาม ‘พระองค์ภา’
ทรงได้รับการถวายพระเกียรติจากสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมสหประชาชาติให้เป็น
‘ทูตสันถวไมตรี’
แล้วตั้งปณิทานว่าจะทรงเป็นแชมเปี้ยน “ยืนหยัดหลักการนิติธรรมและความเที่ยงตรงในระบบกฎหมายอาญา”
แล้วพระเจ้าลูกยาเธอฯ
อัยการเอกที่ลือชื่อในวงตุลาการไทยว่าทรง ‘เฮี้ยบ’
หาใครเปรียบ ยังปาวารณาไว้ข้อหนึ่งว่า “จะลดอาชญากรรมและความรุนแรง
ปกป้องกลุ่มบุคคลซึ่งมักถูกลุกล้ำเอาเปรียบ (vulnerable)”
ที่รวมทั้งผู้ลี้ภัยด้วยได้
ถ้าจะทรงยื่นพระหัตถืเข้าไปจัดการแก้ปมแหในกรณีของ
‘วันเฉลิม’ นี้ได้ จะเสริมส่งพระบรมเดชานุภาพของพระราชบิดา
ชนิดหาโอกาสงามๆ อย่างนี้ไม่ง่ายนักแล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน
เว้นแต่ว่าจะทำให้ต้องหวาดหวั่นว่าเป็นการ ‘จุดไต้ตำตอ’
เกินไป