Rising Seas Will Erase More Cities by 2050, New Research Shows
https://www.nytimes.com/interactive/2019/10/29/climate/coastal-cities-underwater.html
เมื่อวานมีหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์รายงานผลวิจัยว่าในปี 2050 หรืออีก 31 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อาจจะกระทบกับประชากรของประเทศไทยถึง 10% (6-7 ล้านคน) แทนที่แต่เดิมเข้าใจว่ากระทบเพียงประมาณ 1% (3-6 แสนคน) ข่าวนี้มาจากงานวิจัยในวารสาร Nature Communications โดย Scott A.Kulp และ Benjamin H.Strauss ที่มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา (เอกสารอ้างอิง)
การคาดการณ์ผลกระทบของน้ำท่วมจากสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ในอนาคตจะขึ้นกับตัวเลขสองตัว
1. การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มสูงขึ้น
2. การหาค่าระดับพื้นดินว่าอยู่เท่าไร
พื้นที่ไหนที่มีระดับต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในอนาคตก็จะถือว่ามีโอกาสน้ำท่วมและกระทบกับประชากรในพื้นที่
งานวิจัยนี้ไม่ได้บอกว่าน้ำทะเลจะเพิ่มสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่มีการพัฒนาวิธีการคำนวณระดับพื้นดินที่ถูกต้องมากขึ้น เนื่องจากแต่ก่อนใช้อ่านค่าจากภาพถ่ายดาวเทียม ติดหลังคาสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้ใหญ่ ทำให้ระดับพื้นที่สูงกว่าความเป็นจริง พอใช้วิธีคำนวณใหม่ทำให้พบว่าระดับพื้นที่จริงต่ำกว่าที่เคยคำนวณไว้มาก ทำให้ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยประมาณ 70% ของผู้ที่ได้รับผลกระทบ อยู่ใน 7 ประเทศ: จีน บังคลาเทศ อินเดีย เวียตนาม อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น
จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ผมคิดว่าเราคงยังไม่ต้องตื่นตระหนกถึงกับย้ายบ้านหนีน้ำท่วม เพราะงานวิจัยดังกล่าวก็ใช้สมมติฐานหลายเรื่องในการสรุปผล แต่เราควรจะต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวว่ามีโอกาสที่น้ำทะเลจะสูงขึ้นและกระทบต่อประเทศไทยในอนาคต ซึ่งเราเริ่มเห็นแล้วในบางพื้นที่ เช่นบริเวณชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งนอกจากระดับน้ำทะเลแล้วยังมีผลเรื่องการทรุดตัวของดิน และการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งร่วมด้วย
การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมที่น่าจะเป็นไปได้คือ
1. กทม. และจังหวัดต่างๆจัดทำแผนที่ความเสี่ยง (Risk Map) โดยเฉพาะค่าระดับ ความเสี่ยงจากน้ำท่วม ของพื้นที่ต่างๆให้ชัดเจน เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจความเสี่ยงของพื้นที่ต่างๆดีขึ้น โดยควรมีการทำแบบจำลองระดับความละเอียดถูกต้อง +/-10 เซนติเมตร (ซึ่งเข้าใจว่าปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่) การปรับปรุงข้อมูลแผนที่มาตราส่วน 1:4000 และ จัดทำข้อมูลภูมิประเทศและระดับความสูงด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีความละเอียดมากกว่าการใช้แบบจำลองจากดาวเทียมในผลการศึกษา และ ทำให้เราประเมินความเสี่ยงได้ถูกต้องมากขึ้น
2. การกำหนดผังเมือง แนวทางการพัฒนาเมือง การสร้างระบบระบายน้ำ แนวคันกั้นน้ำ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากเรื่องนี้อย่างจริงจัง
3. เพื่อป้องกันระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เราอาจจะพิจารณาการพัฒนาแนวคันกั้นตามแนวคิดของคันกั้นน้ำด้านตะวันออกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยยกระดับแนวถนนที่วิ่งขนานกับอ่าวไทยตั้งแต่แม่น้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน โดยใช้แนวถนนเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้เป็นเส้นทาง Logistics ได้ เช่น สุขุมวิทสายเก่า ถนน 3243 ( วัดแหลม-นาเกลือ) ถนน 3423 (สมุทรสาคร-โคกขาม) ถนนพระราม 2
4. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเลและประตูน้ำเพื่อควบคุมน้ำทะเลในจุดที่เส้นทางแนวกั้นน้ำผ่านแม่น้ำและคลองเพื่อทำให้แนวคันกันน้ำมีความต่อเนื่อง
5. วางแผนระยะยาวสำหรับการขนส่งทางเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา และ การใช้ท่าเรือคลองเตยในอนาคต เพราะการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบถ้ามีการสร้างเขื่อนหรือประตูน้ำ
6. รณรงค์เรื่องการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดเป้าหมายในการลด Carbon Footprint ของประเทศและจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกรุงเทพฯซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศ
(สิ่งที่ไม่ควรทำคือการตั้งคณะกรรมการอีก 5 คณะเพื่อศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม)
ปัญหาทุกอย่าง รับมือได้ ถ้าเราเข้าใจและเอาจริงครับ
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เมื่อวานมีหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์รายงานผลวิจัยว่าในปี 2050 หรืออีก 31 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อาจจะกระทบกับประชากรของประเทศไทยถึง 10% (6-7 ล้านคน) แทนที่แต่เดิมเข้าใจว่ากระทบเพียงประมาณ 1% (3-6 แสนคน) ข่าวนี้มาจากงานวิจัยในวารสาร Nature Communications โดย Scott A.Kulp และ Benjamin H.Strauss ที่มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา (เอกสารอ้างอิง)
การคาดการณ์ผลกระทบของน้ำท่วมจากสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ในอนาคตจะขึ้นกับตัวเลขสองตัว
1. การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มสูงขึ้น
2. การหาค่าระดับพื้นดินว่าอยู่เท่าไร
พื้นที่ไหนที่มีระดับต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในอนาคตก็จะถือว่ามีโอกาสน้ำท่วมและกระทบกับประชากรในพื้นที่
งานวิจัยนี้ไม่ได้บอกว่าน้ำทะเลจะเพิ่มสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่มีการพัฒนาวิธีการคำนวณระดับพื้นดินที่ถูกต้องมากขึ้น เนื่องจากแต่ก่อนใช้อ่านค่าจากภาพถ่ายดาวเทียม ติดหลังคาสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้ใหญ่ ทำให้ระดับพื้นที่สูงกว่าความเป็นจริง พอใช้วิธีคำนวณใหม่ทำให้พบว่าระดับพื้นที่จริงต่ำกว่าที่เคยคำนวณไว้มาก ทำให้ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยประมาณ 70% ของผู้ที่ได้รับผลกระทบ อยู่ใน 7 ประเทศ: จีน บังคลาเทศ อินเดีย เวียตนาม อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น
จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ผมคิดว่าเราคงยังไม่ต้องตื่นตระหนกถึงกับย้ายบ้านหนีน้ำท่วม เพราะงานวิจัยดังกล่าวก็ใช้สมมติฐานหลายเรื่องในการสรุปผล แต่เราควรจะต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวว่ามีโอกาสที่น้ำทะเลจะสูงขึ้นและกระทบต่อประเทศไทยในอนาคต ซึ่งเราเริ่มเห็นแล้วในบางพื้นที่ เช่นบริเวณชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งนอกจากระดับน้ำทะเลแล้วยังมีผลเรื่องการทรุดตัวของดิน และการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งร่วมด้วย
การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมที่น่าจะเป็นไปได้คือ
1. กทม. และจังหวัดต่างๆจัดทำแผนที่ความเสี่ยง (Risk Map) โดยเฉพาะค่าระดับ ความเสี่ยงจากน้ำท่วม ของพื้นที่ต่างๆให้ชัดเจน เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจความเสี่ยงของพื้นที่ต่างๆดีขึ้น โดยควรมีการทำแบบจำลองระดับความละเอียดถูกต้อง +/-10 เซนติเมตร (ซึ่งเข้าใจว่าปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่) การปรับปรุงข้อมูลแผนที่มาตราส่วน 1:4000 และ จัดทำข้อมูลภูมิประเทศและระดับความสูงด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีความละเอียดมากกว่าการใช้แบบจำลองจากดาวเทียมในผลการศึกษา และ ทำให้เราประเมินความเสี่ยงได้ถูกต้องมากขึ้น
2. การกำหนดผังเมือง แนวทางการพัฒนาเมือง การสร้างระบบระบายน้ำ แนวคันกั้นน้ำ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากเรื่องนี้อย่างจริงจัง
3. เพื่อป้องกันระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เราอาจจะพิจารณาการพัฒนาแนวคันกั้นตามแนวคิดของคันกั้นน้ำด้านตะวันออกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยยกระดับแนวถนนที่วิ่งขนานกับอ่าวไทยตั้งแต่แม่น้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน โดยใช้แนวถนนเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้เป็นเส้นทาง Logistics ได้ เช่น สุขุมวิทสายเก่า ถนน 3243 ( วัดแหลม-นาเกลือ) ถนน 3423 (สมุทรสาคร-โคกขาม) ถนนพระราม 2
4. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเลและประตูน้ำเพื่อควบคุมน้ำทะเลในจุดที่เส้นทางแนวกั้นน้ำผ่านแม่น้ำและคลองเพื่อทำให้แนวคันกันน้ำมีความต่อเนื่อง
5. วางแผนระยะยาวสำหรับการขนส่งทางเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา และ การใช้ท่าเรือคลองเตยในอนาคต เพราะการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบถ้ามีการสร้างเขื่อนหรือประตูน้ำ
6. รณรงค์เรื่องการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดเป้าหมายในการลด Carbon Footprint ของประเทศและจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกรุงเทพฯซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศ
(สิ่งที่ไม่ควรทำคือการตั้งคณะกรรมการอีก 5 คณะเพื่อศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม)
ปัญหาทุกอย่าง รับมือได้ ถ้าเราเข้าใจและเอาจริงครับ
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
(https://www.facebook.com/chadchartofficial/photos/a.552912478102942/2664933240234178/?type=3&theater)