วันพุธ, พฤศจิกายน 13, 2562

คดี 'บิลลี่' เชื่อใครดี หลักฐานดีเอสไอ หรือผู้ต้องหา "จะสอยร่วงทุกคน"


คดีอุ้มหาย บิลลี่นักกิจกรรมกะเหรี่ยง ที่ไม่นานมานี้พบซากร่างถูกยัด ถังแดง เผาแล้วโยนลงร่องน้ำลึกแก่งกระจาน อดีตหัวหน้าอุทยานและพวกรวม ๔ คนเข้ามอบตัวสู้คดี ปฏิเสธ ๖ ข้อหา ฆาตกรรม ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ

กำลังเป็นที่ถกเถียงในหมู่ปวงชนที่ให้ความสนใจต่ออาการ เถไถของกระบวนการยุติธรรมไทยในช่วง ๕-๖ ปีที่ผ่านมา ดังที่ Sinsawat Yodbangtoey นำมาตั้งเป็นปุจฉาให้คิดหนักขณะนี้ว่า “ระหว่าง ชัยวัฒน์​ กับ​ DSI สังคมจะเชื่อใคร”

ชัยวัฒน์ ก็คือผู้ต้างหาหมายเลข ๑ ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยานแก่งกระจานขณะเกิดการหายตัวของ บิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้ปกป้องสิทธิชาวกะเหรี่ยง เมื่อ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ ตอนนั้นเขาอายุ ๓๐ มีภรรยาและลูก ๑ คน

ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ในวันมอบตัวมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ ๙ (อุบลราชธานี) เขาบอกผู้สื่อข่าวว่า “เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อดูหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง ทำไมถึงเร่งรีบสอบสวนภายใน ๖ เดือนจึงทราบเรื่องราวทั้งหมด”

เขายังตั้งข้อสงสัยทำไมคดีไปอยู่ที่ศาลอาญาทุจริต “ไม่ได้ชี้ว่าผมเป็นคดีอาญา หรือผมไปฆ่าใคร” ทั้งที่ข้อหาแรกระบุว่า “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” เขายังตำหนิการนำเสนอข่าวที่ผ่านมานับแต่มีการพบซากกระดูกของบิลลี่

“สื่อสร้าง story เรื่องราวต่าง ๆ จนชีวิตข้าราชการของผมกับเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ คน แทบจะไม่มีที่ยืน” เขายังพูดด้วยว่า “เราเป็นผู้พิทักษ์ป่าที่ยังยืนหยัดพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ไม่ว่าจะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แค่ไหน ถ้าผมยังยืนอยู่จะสอยร่วงทุกคน”

ก่อนหน้านี้ชัยวัฒน์ให้สัมภาษณ์ ไทยพีบีเอสเมื่อ ๕ กันยา ๖๒ หลังจากดีเอสไอเปิดเผยหลักฐานกระดูก ๘ ชิ้นของบิลลี่ ด้วยว่า “คนทำก็ชั่วสุดๆ แล้วนะ ทำเอาคนยัดถังแล้วเผาเนี่ยชั่วสุดๆ นะ มีเหล็กเสียบด้วยนะ ไอ้คนทำเนี่ยทั้ง เหี้ยทั้งชั่วเลยนะ ไอ้คนสร้างสถานการณ์ เหี้ยกว่านี้อีก ผมบอกให้”


บางคนที่เข้าไปคอมเม้นต์บนหน้าเฟชบุ๊คของสินสวัสดิ์ ยอดบางเตย โน้มที่จะ เชื่อ ดีเอสไอ เพราะคิดว่าทำคดีมาขนาดนี้ย่อมต้องมีหลักฐานแม่นมั่น โดยเฉพาะเมื่ออดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจานตั้งแง่ว่า “หลักฐานที่มีมามันจริงเท็จอย่างไร”

หลังการหายตัวของบิลลี่ได้ ๓ เดือน มึนอพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของบิลลี่ร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีให้ไต่สวนความ จนสองปีต่อมา “เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี ร้องทุกข์
 
กล่าวโทษนายชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกระทำการให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย” จนดีเอสไอรับคดีบิลลี่เป็น คดีพิเศษเมื่อมิถุนา ๖๑

ครั้นเมื่อมีการยื่นขอขึ้นทะเบียนแก่งกระจานเป็นมรดกโลกในเดือนกรกฎา ๖๒ ผู้เชี่ยวชาญองค์การสหประชาชาติตั้งคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งในพื้นที่ และการละเมิดสิทธิชนกลุ่มน้อย ทำให้คดีบิลลี่กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง

จนปลายสิงหา ๖๒ ครบรอบ ๕ ปี มึนอยื่นคำร้องต่อศาลเพชรบุรีประกาศบิลลี่เป็นบุคคล ถูกบังคับให้หายสาบสูญ’ (Forced disappearance) มีพยานบุคคลแจ้งว่า เห็นบิลลี่ถูกหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่แก่งกระจานควบคุมตัวไปในเดือนเมษา ๕๗

นายชัยวัฒน์แก้ว่าจับกุมในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่า ๓ ขวด เพื่อตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป มิใยภรรยาของบิลลี่พยายามยื่นคำร้องให้ศาลทำการไต่สวนฉุกเฉิน จน ๒ กันยาปีนั้น คดีต้องพับไปจากการที่ศาลทั้งสามชั้น ยกคำร้อง อ้าง หลักฐานไม่เพียงพอ

พอต้นกันยายนปีนี้ ดีเอสไอเปิดเผยว่าพบ “กระดูกกะโหลกมนุษย์ในถังขนาด ๒๐๐ ลิตรที่จมอยู่ใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน” ตรวจพันธุกรรมแล้วตรงกับของนางโพเราะจี มารดาของบิลลี่

ครั้นต่อมาในกลางเดือนตุลามีการย้ายรองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นผู้ทำคดีบิลลี่ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แล้วมีการเรียกร้องจากชุมชนกะเหรียงให้นำ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร กลับมาทำคดีต่อ แม้ดีเอสไอยืนยันไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคดี

แล้วเมื่อ ๑๖ ตุลา ข่าวสดรายงานข่าวลือว่า มีกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับคดีสังหารบิลลี่เดินทางเข้าพบ ‘ผู้ใหญ่’ ในทำเนียบรัฐบาลเพื่อหวังให้ยุติการสอบสวนคดี แต่ท้ายที่สุด ๑๑ พฤศจิกา ศาลออกหมายจับนายชัยวัฒน์และพวก ๖ ข้อหา

ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความแกว่งไกวในกระบวนยุติธรรมไทย กว่าที่การหายสาบสูญของบิลลี่จะเป็นคดีได้ ใช้เวลา ๕ ปี ความมืดมนเกิดในช่วงครองอำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช. พอจะเริ่มเปิดม่านในยุคเผด็จการค่อนใบนี้ ก็มีเหตุให้ยังต้องฉงนมากหลาย

คำตอบต่อคำถามที่ว่าจะเชื่อใคร คงต้องว่า เชื่อทั้งหมดเพื่อผลักดันให้ทุกฝ่ายคายข้อเท็จจริงพรั่งพรูออกมา จะได้รู้กันว่าใครปิดบังอำพราง และใครกันสั่งศาลได้ อย่างน้อยๆ จะช่วยป้องกันการชักปืนยิงกัน หรือยิงตัวเองในห้องพิจารณาคดี ได้บ้าง