คดีอุ้มหาย ‘บิลลี่’
นักกิจกรรมกะเหรี่ยง ที่ไม่นานมานี้พบซากร่างถูกยัด ‘ถังแดง’ เผาแล้วโยนลงร่องน้ำลึกแก่งกระจาน อดีตหัวหน้าอุทยานและพวกรวม
๔ คนเข้ามอบตัวสู้คดี ปฏิเสธ ๖ ข้อหา ‘ฆาตกรรม’ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
กำลังเป็นที่ถกเถียงในหมู่ปวงชนที่ให้ความสนใจต่ออาการ
‘เถไถ’ ของกระบวนการยุติธรรมไทยในช่วง
๕-๖ ปีที่ผ่านมา ดังที่ Sinsawat Yodbangtoey
นำมาตั้งเป็นปุจฉาให้คิดหนักขณะนี้ว่า “ระหว่าง ‘ชัยวัฒน์’ กับ DSI สังคมจะเชื่อใคร”
‘ชัยวัฒน์’
ก็คือผู้ต้างหาหมายเลข ๑ ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยานแก่งกระจานขณะเกิดการหายตัวของ
บิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้ปกป้องสิทธิชาวกะเหรี่ยง เมื่อ ๑๗
เมษายน ๒๕๕๗ ตอนนั้นเขาอายุ ๓๐ มีภรรยาและลูก ๑ คน
ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ในวันมอบตัวมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่
๙ (อุบลราชธานี) เขาบอกผู้สื่อข่าวว่า “เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อดูหลักฐานว่ามีอะไรบ้าง
ทำไมถึงเร่งรีบสอบสวนภายใน ๖ เดือนจึงทราบเรื่องราวทั้งหมด”
เขายังตั้งข้อสงสัยทำไมคดีไปอยู่ที่ศาลอาญาทุจริต
“ไม่ได้ชี้ว่าผมเป็นคดีอาญา หรือผมไปฆ่าใคร” ทั้งที่ข้อหาแรกระบุว่า “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน”
เขายังตำหนิการนำเสนอข่าวที่ผ่านมานับแต่มีการพบซากกระดูกของบิลลี่
“สื่อสร้าง story เรื่องราวต่าง
ๆ จนชีวิตข้าราชการของผมกับเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ คน แทบจะไม่มีที่ยืน” เขายังพูดด้วยว่า
“เราเป็นผู้พิทักษ์ป่าที่ยังยืนหยัดพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ไม่ว่าจะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แค่ไหน
ถ้าผมยังยืนอยู่จะสอยร่วงทุกคน”
ก่อนหน้านี้ชัยวัฒน์ให้สัมภาษณ์ ‘ไทยพีบีเอส’ เมื่อ ๕ กันยา ๖๒
หลังจากดีเอสไอเปิดเผยหลักฐานกระดูก ๘ ชิ้นของบิลลี่ ด้วยว่า “คนทำก็ชั่วสุดๆ
แล้วนะ ทำเอาคนยัดถังแล้วเผาเนี่ยชั่วสุดๆ นะ มีเหล็กเสียบด้วยนะ ไอ้คนทำเนี่ยทั้ง
เหี้ยทั้งชั่วเลยนะ ไอ้คนสร้างสถานการณ์ เหี้ยกว่านี้อีก ผมบอกให้”
(https://waymagazine.org/dsi-billy-porlajee-rakchongcharoen/ และ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_3049265)
บางคนที่เข้าไปคอมเม้นต์บนหน้าเฟชบุ๊คของสินสวัสดิ์
ยอดบางเตย โน้มที่จะ ‘เชื่อ’ ดีเอสไอ เพราะคิดว่าทำคดีมาขนาดนี้ย่อมต้องมีหลักฐานแม่นมั่น
โดยเฉพาะเมื่ออดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจานตั้งแง่ว่า “หลักฐานที่มีมามันจริงเท็จอย่างไร”
หลังการหายตัวของบิลลี่ได้ ๓ เดือน ‘มึนอ’ พิณนภา พฤกษาพรรณ
ภรรยาของบิลลี่ร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีให้ไต่สวนความ จนสองปีต่อมา “เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
เขตงานตะนาวศรี ร้องทุกข์
กล่าวโทษนายชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานฯ
แก่งกระจาน ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกระทำการให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”
จนดีเอสไอรับคดีบิลลี่เป็น ‘คดีพิเศษ’
เมื่อมิถุนา ๖๑
ครั้นเมื่อมีการยื่นขอขึ้นทะเบียนแก่งกระจานเป็นมรดกโลกในเดือนกรกฎา
๖๒ ผู้เชี่ยวชาญองค์การสหประชาชาติตั้งคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้งในพื้นที่ และการละเมิดสิทธิชนกลุ่มน้อย
ทำให้คดีบิลลี่กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
จนปลายสิงหา ๖๒ ครบรอบ ๕ ปี ‘มึนอ’ ยื่นคำร้องต่อศาลเพชรบุรีประกาศบิลลี่เป็นบุคคล
‘ถูกบังคับให้หายสาบสูญ’ (Forced disappearance) มีพยานบุคคลแจ้งว่า เห็นบิลลี่ถูกหัวหน้าอุทยานและเจ้าหน้าที่แก่งกระจานควบคุมตัวไปในเดือนเมษา
๕๗
นายชัยวัฒน์แก้ว่าจับกุมในข้อหาครอบครองน้ำผึ้งป่า
๓ ขวด เพื่อตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป มิใยภรรยาของบิลลี่พยายามยื่นคำร้องให้ศาลทำการไต่สวนฉุกเฉิน
จน ๒ กันยาปีนั้น คดีต้องพับไปจากการที่ศาลทั้งสามชั้น ‘ยกคำร้อง’ อ้าง ‘หลักฐานไม่เพียงพอ’
พอต้นกันยายนปีนี้ ดีเอสไอเปิดเผยว่าพบ “กระดูกกะโหลกมนุษย์ในถังขนาด
๒๐๐ ลิตรที่จมอยู่ใต้น้ำ บริเวณสะพานแขวนเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน” ตรวจพันธุกรรมแล้วตรงกับของนางโพเราะจี
มารดาของบิลลี่
ครั้นต่อมาในกลางเดือนตุลามีการย้ายรองอธิบดีดีเอสไอ
ซึ่งเป็นผู้ทำคดีบิลลี่ ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แล้วมีการเรียกร้องจากชุมชนกะเหรียงให้นำ
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร กลับมาทำคดีต่อ แม้ดีเอสไอยืนยันไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคดี
แล้วเมื่อ ๑๖ ตุลา ข่าวสดรายงานข่าวลือว่า มีกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับคดีสังหารบิลลี่เดินทางเข้าพบ
‘ผู้ใหญ่’ ในทำเนียบรัฐบาลเพื่อหวังให้ยุติการสอบสวนคดี แต่ท้ายที่สุด ๑๑ พฤศจิกา
ศาลออกหมายจับนายชัยวัฒน์และพวก ๖ ข้อหา
ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นความแกว่งไกวในกระบวนยุติธรรมไทย
กว่าที่การหายสาบสูญของบิลลี่จะเป็นคดีได้ ใช้เวลา ๕ ปี
ความมืดมนเกิดในช่วงครองอำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช.
พอจะเริ่มเปิดม่านในยุคเผด็จการค่อนใบนี้ ก็มีเหตุให้ยังต้องฉงนมากหลาย
คำตอบต่อคำถามที่ว่าจะเชื่อใคร คงต้องว่า ‘เชื่อทั้งหมด’ เพื่อผลักดันให้ทุกฝ่ายคายข้อเท็จจริงพรั่งพรูออกมา
จะได้รู้กันว่าใครปิดบังอำพราง และใครกันสั่งศาลได้ อย่างน้อยๆ
จะช่วยป้องกันการชักปืนยิงกัน หรือยิงตัวเองในห้องพิจารณาคดี ได้บ้าง