จะว่าทำงานไม่เข้าขากัน
หรือว่าผู้ร่วมงานไร้น้ำยา ว่าได้ทั้งนั้นเมื่อผลออกมาไม่เข้าท่า
แต่ถ้าอ้างเมื่อก่อนทำ ‘สี่ขา’ เดี๋ยวนี้เหลือ ‘ขาเดียว’ ละก็เข้าไคล้
‘รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง’ ตัวพระเอกลิเกหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนั่นแหละ
‘ขี้เท่อ’
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ
ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว กระเตง รัฐมนตรีคลัง อุตตม สาวนยน
ชี้แจงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า “เครื่องยนต์เหล่านี้ต้องเดินไปข้างหน้าทุกตัว”
ทั้งด้านส่งออก ค่าครองชีพ และเกษตรกรรม
แต่ที่ผ่านมา ‘คลัง’ ทำได้เฉพาะในขอบข่ายของตัว “กระทรวงการคลังไม่ได้ไปทำเรื่องส่งออก
เพราะไม่ใช่หน้าที่” (ต้องเข้าใจว่าเรื่อง ‘ส่งออก’ นี่ปัญหาใหญ่ เป็นหน้าเป็นตาของ ‘ประชารัฐ’ ส่วนด้านค้าปลีก ราคาผลผลิต เรื่องย่อย เดี๋ยวโยนเศษเงินเหลือจากซื้อรถถังให้ก็เงียบกันไปเอง)
รมว.อุตตม บ่นบ้าง “เรื่องเศรษฐกิจต้องดูแลในหลายด้าน...ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทั้งรัฐ
เอกชน ไม่เช่นนั้นปล่อยไปเฉยๆ ความมั่นใจไม่มี ความรู้สึกหดหู่ยิ่งไปกันใหญ่...มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น
ๆ กระทรวงที่รับผิดชอบก็ดำเนินการอยู่ คลังรับผิดชอบแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ไม่ใช่ทั้งหมด”
สมคิดกลับมาต่อ “ที่ผ่านมาทำไปเยอะแล้ว
แต่ยังไม่สามารถสื่อไปถึงผู้ใช้ รวมถึงธนาคารโลกให้เข้าใจสิ่งที่เราทำได้”
เลยทำให้ภาพลักษณ์ของการบริหารเศรษฐกิจไทย ‘shabby’ ขี้เหร่ในสายตาชาวโลก แล้วอย่างนี้ใครจะอยากมาลงทุน ‘อีอีซี’
“คาดว่าเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๓ ถึงขั้นวิกฤติอย่างหนัก
โดยเฉพาะปัญหาการว่างงานและปัญหาความยากจนที่รุนแรง
ซึ่งขณะนี้ได้เกิดการเคลื่อนไหวเรียกร้องจากกลุ่มชาวนา-ชาวไร่ กลุ่มแรงงาน
และกลุ่มผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น
จนอาจกลายเป็นแรงระเบิดในปี ๒๕๖๓ ได้” Somyot Pruksakasemsuk วิจารณ์เรื่องที่สมคิดกับอุตตม “โวยพรรคร่วมพากันทำเละ” ว่าเป็นเพราะ “รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทำเศรษฐกิจพัง” ที่แตกแบ๊งค์พันทางการเมือง
“ทำให้เกิดรัฐบาลผสมถึง ๑๙ พรรค ที่ไร้เสถียรภาพ
แต่ละพรรคมุ่งผลักดันนโยบายของตัวเอง จึงทำให้เกิดสภาพตัวใครตัวมัน พรรคใครพรรคมัน
เตะตัดขากันเอง จนทำให้เศรษฐกิจเติบโตเพียงแค่ ๒.๖ เปอร์เซ็นต์”
แล้วยังแบ๊งค์ร้อย ‘ยับยู่ยี่’ แบบว่าค้ายาบ้าง สัมปทานรัฐบ้าง ซ้ำแบ๊งค์สิบ
‘ขาดวิ่น’ ชนิดเย็บไม่ติดอย่างการสวาปามที่
สปก. กับป่าสงวนแห่งชาติเอาไปเลี้ยงไก่งี้ รวมทั้งป่วนสภา แหวกับประธานฯ บ้าง ก่อกวนร้องปลดประธานกรรมาฯ
บ้าง
ล่าสุด สิระ เจนจาคะ บอกว่า “จะยังไม่มีการเสนอให้ปลดพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
เตมียเวส ออกจากตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ
สภาผู้แทนราษฎร” เพราะต้องรอได้ตัวป่วนอีกคน
เหตุจากปารีณา (ไกรคุปต์)
คู่หูเจอเรื่องฮุบป่าเสียจนโป๊ะแตก เลยต้องชะลอจนกว่า ไพบูลย์ นิติตะวัน เข้าทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการ
เสียก่อน ดูเหมือนว่าไพบูลย์กำลังยุ่งช่วยแก้บ่วงให้กับ วทันยา วงศ์โอภาสี
กรณีขายหุ้นสื่อแต่แจ้งช้า
วานนี้ (๒๕ พ.ย.) ‘แผงคอราชสีห์ คสช.’ อ้างว่า ‘มาดามเก้ง’
คนเก่งทุกอย่างขายหุ้นผ่านโบร้คเกอร์ ๓ รายแล้วโอนเงิน ๔๑ ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของ
น.ส.วทันยาเมื่อ ๑๓ และ ๑๔ ธันวา ๖๑ ก่อนไปสมัครรับเลือกตั้ง ๒ เดือน
แต่กรณีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ขายหุ้นวี-ลัคให้มารดา ๘ มกรา ๖๒ แต่นำเช็คเข้าบัญชีของตนเมื่อ ๑๖ พฤษภา ๖๒
จึงทำให้ศาล “ไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นเกิดขึ้นจริง”
ซึ่งอันนี้เป็นทางปฏิบัติทางธุรกิจไม่เคยมีใครติดใจว่าจะเอาเช็คไปเข้าบัญชีเมื่อไร
แต่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญ (ดัน)
รู้เรื่องดีกว่านักธุรกิจว่าถ้ายังไม่เอาเช็คไปขึ้นเงิน ผู้ขายจะชักสินค้าคืนได้
แล้วถ้าเป็นสินค้าย่อยสลายล่ะ จะเอาสินค้าที่ย่อยแล้วคืนงั้นหรือ
แม้แต่ที่เป็นอสังหาฯ ไม่บูดเน่า ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้วเอาคืนได้ไง
เมื่อการซื้อขายถูกต้องทุกกระบวนการ
พัลวันพัลเกกันจะเละพวกแบ๊งค์สิบนี่ แต่ยังไม่พอ
พวกแบ๊งค์ยี่สิบก็เป็นเหมือนกัน ตีกันพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพวกอยู่ตลอดรอดฝั่งเพราะฐานโยกเอนได้ตามแรงไหวของแผ่นดิน
วีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์พรรคพลังประชารัฐ
‘วิปรัฐบาล’ ออกประกาศ ‘ความเห็นส่วนตน’ ว่า “ผู้ที่จะนั่งตำแหน่งประธานกมธ.
ก็ต้องเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเท่านั้น จะไปเอาพรรคร่วมรัฐบาล
หรือพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคแกนนำไม่ได้”
นั่นเป็นกระบวนการช่วงชิง ‘การแก้รัฐธรรมนูญ’ ไปอยู่ในมือ คสช.๒ ให้จนได้
แค่ตั้งเป็นคำถามไม่ต้องคิดว่า “อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถพูดคุยกับ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้หรือไม่
ถ้านายกฯ ไม่ได้เอาด้วย
แล้วกมธ.จะทำงานกันต่อไปได้หรือ” ทั้งๆ ที่เขามาจากการเสนอ
(และหมายมั่นปั้นมือแต่ต้น) ของพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญไม่เบาพรรคหนึ่ง ชนิดถ้าไม่มาก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้
แต่ว่าบัดนี้ได้กลายเป็นสมุนรับใช้ให้เขาสับโขกไปแล้ว
(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_250381,
https://www.matichon.co.th/politics/news_1768170 และ https://siamrath.co.th/n/117218F6v8El0)
จะเป็นความเสียใจของพรรคนั้นที่เลือกขายวิญญานให้ปีศาจหรือเปล่าไม่รู้
แต่กรณีล่าที่เล่ามาข้างต้นนี่เป็นการตอกย้ำว่า ไม่มี ‘เพื่อนร่วมงาน’ สำหรับเผด็จการ
ถ้าไม่ใช่ลูกน้องก็ต้องเป็นทาส