ศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชน หรือ TLHR
เปิดหลักฐานจะแจ้งยืนยันว่าในปี ๒๕๖๑ หลังจากที่ คสช.เริ่มเพลามือในการจับคนไปปรับทัศนคติเพื่อสร้างภาพพจน์เข้าสู่การเลือกตั้งนั้น
มิได้ตั้งใจผ่อนปรนการกดขี่ประชาชนที่ไม่ต้องการคณะมาทหารปกครอง
หากเป็นเพียงการเปลี่ยนยุทธวิธี
ตบตาชาวโลกที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยและคัดค้านเผด็จการ ให้ดูเหมือนว่า
คสช.ยึดอำนาจเพียงเพื่อแก้ปัญหาความแตกแยกเท่านั้น และเหตุที่ต้องการอยู่นานถึง ๒๐
ปี เพื่อให้มีความสงบราบคาบยาวนาน
หลักฐานดังกล่าวมาจากคำฟ้องของ คสช.ต่อกลุ่มคน
‘อยากเลือกตั้ง’ ในการชุมนุมเรียกร้องริมถนนราชดำเนินเมื่อ
๑๐ กุมภา ๒๕๖๑ ซึ่งเรียกกันว่าคดี RDN50 ฟ้องร้องแกนนำ ๗ คน
ในข้อหาร้ายแรง มาตรา ๑๑๖ และการขัดคำสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘
มีการแยกผู้ต้องหาเป็นสองกลุ่ม ฟ้องสองคดี
เนื่องจากหนึ่งใน ๗ คนนั้น (รังสิมันต์ โรม) ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งทั้งสองสำนวน “ศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีไปเมื่อวันที่ ๒๐ ก.ย. ๖๒
โดยศาลเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มจำเลยเป็นไปโดยสงบ
ปราศจากอาวุธ ไม่มีความรุนแรง ความวุ่นวาย ไม่มีการใช้กำลังบีบบังคับให้รัฐบาล”
ทั้งนี้โดยมีเอกสารประกอบสำนวนชุดหนึ่ง จำนวน ๒ แผ่นเรียกว่า หมาย จ.๑๔
ที่เป็นเอกสารผี
เพราะ “ไม่ได้มีการระบุชื่อผู้จัดทำ
หน่วยงานที่จัดทำ หรือไม่ได้มีการลงนามโดยเจ้าหน้าที่รัฐคนใด”
แต่แสดงชัดเจนว่าเป็นหลักฐานและหลักการสนับสนุนคำฟ้อง โดยนำเสนอ ‘ข้อดีและข้อเสีย’ ของปฏิบัติการใช้ชนักปักหลังนักกิจกรรมประชาธิปไตยด้วยคดีความ
ศูนย์ทนายฯ
วิเคราะห์เนื้อหาเอกสารผีนั้นออกมาจะจะหลายประเด็น คือ
๑.มีการแบ่งฝ่ายระหว่าง คสช. (ฝ่ายเรา) กับ
“ประชาชนที่ออกมาต่อต้าน หรือเคลื่อนไหวทางการเมือง”
อันทำให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งถูกจัดให้เป็น ‘ฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลและกองทัพ’
ประดุจดัง “ศัตรู ที่ต้องสู้รบด้วยวิธีการต่างๆ
เพื่อหยุดยั้งและป้องปรามการเคลื่อนไหวเอาไว้”
๒.คสช.ใช้ “การแจ้งความทางกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เพื่อทำให้การชุมนุมหรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องยุติลง หรือเป็นไปได้ยากขึ้น”
เนื่องจากแกนนำถูกจำกัดเสรีภาพ เป็นความกดดันทางรูปคดี
“ชี้ให้เห็นถึงการใช้การดำเนินคดีทางกฎหมาย
เพื่อปิดปากนักกิจกรรมและผู้เห็นต่าง
เพื่อเป็นการสร้างภาระต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง (SLAPP:
Strategic Lawsuit Against Public Participation)”
๓.มีการมุ่งแจ้งความดำเนินคดีอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงรูปคดี
คำของ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นักฟ้องของ
คสช.ตัวเอกในปฏิบัติการ พูดทำนองว่าฟ้องทิ้งไว้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนติดตามคดี
ทั้งนี้อ้างว่า ช่วยให้ลดแรงกดดันอันเกิดจากองค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติได้
และ ๔. “เนื้อหาเอกสารระบุชัดเจนถึงการเสนอให้นำปฏิบัติการข่าวสาร
(IO) มาใช้ต่อประชาชน” โดย “การสร้างเนื้อหาในลักษณะโจมตีต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง
ว่าไม่ใช่พลังบริสุทธิ์
มีแกนนำเสื้อแดงเป็นผู้ขับเคลื่อน เป็นการสร้างความแตกแยกในสังคม”
ในทางการเมืองของพลเรือน
มีการใช้เล่ห์เพทุบายต่างๆ เพื่อเอาเปรียบ เอาชนะฝ่ายตรงข้าม
ที่เรียกกันติดปากมานานว่า ‘วิชามาร’
ทางทหารก็มียุทธวิธีและยุทธการใต้ดิน ไม่เปิดเผยและอำพราง
คณะยึดอำนาจนำเอาชั้นเชิงการโกงเหล่านั้นมาใช้กับพลเรือน เพื่อการครองอำนาจยาวนาน
ความต่างระหว่างการใช้ยุทธการดังกล่าวในสมรภูมิ
กับใช้ต่อประชาชนที่มีความคิดอ่านของตน ก็คือ ‘นักรบ’ กับนัก ‘ตลบแตลง’