ดูเหมือนว่าวิถี ‘อนาคตใหม่’ จะไปไม่รอดเพราะพวก ‘อยู่ได้แต่ไม่เป็น’ มากกว่าพวก ‘อยู่เป็น’ เมื่องานชื่อ อยู่ไม่เป็น ที่จตุจักรของพรรคอนาคตใหม่ถูกนักประชาธิปไตยตัวเอ้ๆ
บางคนซัดว่าที่แท้ “สะท้อนภาวะ
#อยู่เป็น อย่างแท้จริง”
#อยู่เป็น อย่างแท้จริง”
นั่นจากโพสต์ของ อานนท์ นำภา
ทนายที่ทำคดีให้กับชาวบ้านจำนวนมากหน้า ที่ถูกฝ่ายรัฐประหารยัดข้อหา ๑๑๒, ๑๑๖
และคำสั่งเหนือรัฐธรรมนูญทั้งหลายของ คสช. เพื่อปิดปากและตบหัว
แต่หนักกว่านั้นเป็นของนักวิชาการผู้โด่งดังทั่วโลก
Pavin Chachavalpongpun ฟัดตามฟอร์มว่างานนี้ “จัดเพื่อคอนเฟิร์มความ ‘อยู่เป็น’ ของตัวเอง ขำฉิบหาย”
ก่อนอื่น
ขอชี้แจงว่านำประเด็นนี้มาแพร่โดยไม่แน่ใจ ไม่รู้จริงว่าสิ่งที่ทั้งทนายน้อยและ
อจ.ปวินออกมางัดกับพรรคอนาคตใหม่นั่นเรื่องอะไร จะว่าเพราะการไม่ยอมแตะ ๑๑๒
หรือว่า ‘ติ่ง’
ของพรรคนี้จำนวนมากพอดูออกอาการ ‘สลิ่ม’ อยู่บ่อยๆ ก็สุดแท้แต่
ดังข้อบ่นของ ‘ยิ่งชีพ (เป๋า) @yingcheep’
หัวหน้ามดงาน ‘ไอลอว์’
ที่ว่า “ผมไม่ได้แซะอนาคตใหม่สักนิด ผมสู้กับ คสช. มาตั้งแต่ก่อนมีพรรคนี้เกิดขึ้น
ผมพยายามแล้วที่จะพูดเพื่อรักษามิตรไมตรีระหว่างคนทุกเฉด เพื่ออนาคต
ไม่ใช่เพื่อวันนี้
รำคาญกองเชียร์อนาคตใหม่จับประเด็นไม่เป็น
ถ้ากองเชียร์ไม่มีคุณภาพแบบนี้พรรคมีแต่จะเสื่อมครับ” ซึ่งก็ไม่วายมีใครคนหนึ่ง @MilanSLive มาเถียง แรงส์ทีเดียว
“แซะเขาไม่เห็นสนว่าเขาจะรู้สึกยังไงเลย
ส่วนจะสู้ด้วยกันไหมก็แล้วแต่นะ...สู้ไม่สู้ล่ะ อยู่ๆ ไปเหอะ อย่า #อยู่ไม่นาน แบบ #ไทยรักษาชาติ ละกัน
นั้นขนาดติ่งคุยว่าอยู่เป็นแล้วนะยังฉิบหาย” กลายเป็นประเด็นร้อนที่บ่อนเซาะพลังประชาธิปไตยลึกลงไปอีก
อานนท์ว่า “เรื่องนี้ไม่มีผิด-ถูก ที่จุดนัดพบ
ไม่รู้จะเจอใครสักกี่คน” Burapa Lekluanngarm ตอด “เขาทำมากกว่าทุกคนแล้ว” แถม นายกุศล ผลบุญ เข้ามาเสริม “ถ้าจะ ‘อยู่ไม่เป็น’ อีกแบบ ก็เตรียมลาลูกเมีย ผัว ไปติดคุกทั้งพรรค ทั้งคนไปฟังได้เลย”
ดูท่า Apisak Sukkasem น่าจะสรุปได้ค่อนข้างกลางๆ “ผมว่ามันเหมือนคนกลัวๆ กล้าๆ
จะเดินหน้าก็ไม่สุด ถอยหลังก็กลัว” ขณะที่ ภควรรณ พุทธิศรี พยายามประคอง “เขาต้องการให้ประชาชนกล้ายืนยันในหลักการและอุดมการณ์ของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
มิเช่นนั้น จะต้องอยู่ในสภาพจำยอมไปอีกนาน”
แล้วไปลงเอยที่ Somphan
Phansati ด้วยความเห็นอกเห็นใจ “อยากรู้ว่าวันที่ ๒๐ ศาลตัดสินให้ธนาธร
‘ผิด’ พวกที่กดดันเขาให้ทำโน้นทำนี่
จะช่วยอะไรเขาได้” น่าจะหลายคนที่ชื่นชอบพรรคนี้โดยไม่ถึงขนาดเป็นติ่ง
เชื่อว่าเอาตัวรอดได้
ดังความเห็นของ วรรณกิจ ทองสุข อายุ ๖๒ ปี มาจากโคราช
อาชีพ (ลืมถาม) ตอบสัมภาษณ์ของ ‘ประชาไท’ ว่า “เรื่องคดีทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นผมมองว่า
พรรคอนาคตใหม่เป็นเหมือน 'เสื้อ' ที่ผู้คนแนวคิดเดียวกันสวมใส่
ถ้าเกิดมียุบพรรคมันก็เหมือนเขาบังคับให้เราถอดเสื้อ...ถ้าบทบาทในสภาไม่มี
มันก็จะมีการเมืองบนท้องถนนแน่นอน” เช่นกันกับ รุ่งอรุณ แซ่บุญ อายุ ๗๕ ปี มาจาก
กทม. อาชีพแม่บ้าน ว่า “ถึงเวลาออกก็ต้องออก
ทุกอย่างถ้าเราไม่สู้ไม่ทำอะไรก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
คนเรามีความอดทนจำกัดเหมือนกัน”
ถ้างั้นลองย้อนไปเสาะหาซิว่าอะไรทำให้ตัวเอ้ฝ่ายประชาธิปไตยบางคนไม่พอใจ
ดูจากการปาฐกถาของแกนนำ อนค. และ ส.ส.คนดังบางราย
ที่พยายามแก้ปมข้อโจมตีที่ฝ่ายสนับสนุนการสืบทอดอำนาจรัฐประหารใส่ยาพิษมุ่งทำลายล้าง
“เราไม่ต้องการให้สถาบันถูกใครคนใดคนหนึ่ง
กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเอาไปแอบอ้างเพื่อโจมตีกันทางการเมือง” นั่นละที่ ปิยบุตร
แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ใช้ต่อต้านขบวนการ ‘พิฆาต’
ศัตรูเผด็จการด้วยข้อหา ‘ล้มเจ้า’
ทำนองเดียวกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.
บัญชีรายชื่อ อนค. ให้นิยามของการอยู่ไม่เป็นว่า “ไม่ใช่คนชังชาติ
แต่ไม่ได้คลั่งชาติ และเรารักชาติพอที่จะยอมรับว่าข้อเสียของชาติคืออะไร
และพร้อมแก้ปัญหา”
ซึ่งเปรียบเทียบกับฝ่ายอยู่เป็น
ที่จัดการสนทนาที่เมืองนนท์ ออกสื่อในวันเดียวกันเพื่อมาชน “มีผู้ร่วมวง ๕ คน
โดยที่บางคนจงใจสื่อสารข้ามเวทีถึงนักการเมืองพรรคอนาคตใหม่ อย่างนายศรีสุวรรณ
จรรยา” แต่คนที่เป็นจุดเด่นคือ ‘อุ๊’ หฤทัย ม่วงบุญศรี
นักร้องที่เพิ่งมาดังตอนย่างวัยป้าด้วยการเมืองโหนสถาบัน
โจมตีทั้งปิยบุตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ของอนาคตใหม่ว่าเป็น ‘ไดโนเสาร์’ หาว่าเอาแนวคิดคอมมิวนิสต์ยุคเก่ามาใช้ไม่ทันสมัย
(เท่า ‘ลุงตูบ’ ของหล่อนที่เชิดชูคอมมิวนิสต์จีนปัจจุบัน
มั้ง)
ทั้งที่จากการเอาข้อเท็จจริงมาเปรียบเทียบโดย
‘บีบีซีไทย’
รายการของอุ๊กับ อนค.ต่างกันเยอะเลย ผู้ร่วมงาน๒๐ กับ ๒,๐๐๐ ยอดรับชมไล้ฟ์สดผ่านทางเพจขององค์กร
๔๐๐ ต่อ ๖,๙๐๐ (พื้นฐานผู้ติดตามของเพจ ๑.๒๕ หมื่นต่อ ๘.๒๔ แสน)
จะเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามนั้น ‘จิ๊บจ้อย’ แต่ว่าอาการ ‘ผิดสำแดง’ บางอย่างบางครั้งที่จักต้องได้รับการแก้ไข ทำให้เกิดการทิ่มแทงจาก ‘ข้างแคร่’ บ่อยขึ้น จะกลายเป็นกรดกัดกร่อนให้ภาวะการเมืองไทยสมัยสองของ
คสช.เป็นการบ่มเพาะความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ของ คสช.๓ ไปเสียฉิบ