สาร์นจากประชาชนคนไทยถึง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
BY KANOKWAN KANKAW
November 23, 2019
Prakaifai.com
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562
เรื่อง ความเป็นจริงในประเทศไทยที่ตรงข้ามกับคำสอนพระคริสต์
เรียน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
ในวาระที่ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระสันตะปาปาลำดับที่ 266 เสด็จเยือนประเทศไทยระหว่าง 20-23 พฤศจิกายน 2562 ตามคำเชิญของรัฐบาลไทย และสภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย นับเป็นความปลื้มปิติไม่เฉพาะในหมู่คริสต์ศาสนิกชน แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ
พวกข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนไทยมีความซาบซึ้งที่พระองค์ประทานโอวาทให้ทุกคนตั้งใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่ต้องกลัวเพื่อประวัติศาสตร์ที่สวยงาม สร้างความยุติธรรม ทางสังคม รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างสังคมสันติสุข ที่ปราศจากความรุนแรง แสวงหาหนทางเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติและรักษาทรัพยากรให้ชีวิตบนโลก แต่ทว่าในประเทศไทย ขณะที่ท่านได้ไปเยือนทำเนียบรัฐบาลโดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถวายการต้อนรับ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นั้น ข้าพเจ้าขอกราบเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะที่เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบกในปี2553อยู่นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำทหารมาใช้ความรุนแรงในการสังหารหมู่คนเสื้อแดงในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตถึง 100 คน ในปี 2557 ยังได้ นำกำลังทหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น มีประชาชนผู้เห็นต่างไปจากรัฐบาล ต้องถูกอุ้มฆ่า ถูกบังคับสูญหายมีจำนวนถึง 8 คนด้วยกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแต่ทว่าเป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ2560 ที่มีเนื้อหาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร เป็นรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นมาจากคณะรัฐประหาร หาใช่ยกร่างมาจากประชาชนไม่
พวกข้าพเจ้าผิดหวังอย่างแรงที่ ได้เห็นภาพที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้จับมือกับนายกรัฐมนตรีประเทศไทยที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี 2553 และ เป็นผู้นำคณะรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งได้ทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของประเทศไทยจนหมดสิ้น นับเป็นภาพที่จะนำมาสู่ความมัวหมองแห่งคริสต์จักรเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนี้ยังนำมาสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องว่างงานลง ต้องอดอยากหิวโหย แม้ในส่วนที่กำลังทำงานก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเพียงวันละ 325 บาท ที่ไม่พอเพียงต่อการดำรงชีวิตสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เกษตรกรหลายล้านคนล้มละลายจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำกลายเป็นคนมีหนี้สิน สูญเสียที่ดินทำกิน ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปหางานทำในต่างประเทศ
ในด้านความยุติธรรมก็เช่นกันที่ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับความอยุติธรรมของการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตุลาการในประเทศไทยไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านี้ยังเป็นเครื่องมือเผด็จการในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์สมเด็จพระสันตปาปาฟรังซิสที่ต้องการความยุติธรรมให้บังเกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนกว่า 6 ล้านคนให้การยอมรับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างเช่นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กลับถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาผู้นำประเทศที่ประชาชนให้การยอมรับและมีผลงานเพื่อผู้ยากไร้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างนายทักษิณ ชินวัตรและนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกอำนาจเผด็จการทหารกำจัดออกไปจากประเทศไทย
โอวาทตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า ประชาชนไทยให้ความสำคัญและดูแลผู้สูงอายุ ให้เกียรติและเคารพยกย่องผู้สูงวัย เป็นความจริงที่ผู้สูงวัยได้ทำงานทั้งชีวิตสร้างผลผลิตให้กับสังคมและยังได้เลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโต เป็นพลเมืองประเทศไทย แต่ทว่า ขอกราบเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า คนสูงวัยในประเทศไทยกว่า 3 ล้านคน ได้รับเงินเบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเพียงเดือนละ 600 บาทหรือตกวันละ 20 บาท ไม่พอเพียงสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ว่า ผู้สูงวัยเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 3000 บาท รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้สูงอายุเหล่านี้ ในขณะเดียวกันกลับใช้งบประมาณมหาศาลไปใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารอันจะนำมาสู่ความรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
ยังมีอีกความตอนหนึ่งที่กล่าวถึง แผ่นดินไทยเป็นดินแดนอิสรภาพ แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้นคนไทยไม่มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น เมื่อประเทศไทยยังมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 อยู่ มีผู้ถูกดำเนินคดีนี้นับพันคน หลายร้อยคนที่ถูกคุมขัง ปราศจากอิสรภาพ โดยมีนักโทษการเมืองในคดีตามมาตรา112ในขณะนี้ถึง 25 คนด้วยกัน
พวกข้าพเจ้ามีความปลื้มปิติ ที่ คริสต์ศาสนิกชนนับหมื่นคนหลั่งไหลมาเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พร้อมด้วยเหล่าพระธรรมทูต บาทหลวง นักบวช ด้วยพิธีอันศักดิ์สิทธิ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้จะไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง หากภาพเหล่านี้ได้กลบเกลื่อนความเป็นจริงของคนไทยที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ตรงข้ามกับคำสอนของพระคริสต์ และตรงกันข้ามกับความปรารถนาของพระเจ้า
พวกข้าพเจ้าหวังว่า พระองค์จะได้รับรู้ความเป็นจริงในประเทศไทยที่ตรงกันข้ามกับคำสอนแห่งพระคริสต์ และนี่ย่อมเป็นภารกิจของคริสตชนในประเทศไทยภายใต้การดำเนินงานของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จะได้ร่วมกันกับประชาชนคนไทยต่อสู้ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากเผด็จการทหาร กำจัดคนชั่วช้าให้ออกไปจากอำนาจการเมืองไทย เพื่อให้ ประชาชนคนไทยได้รับสิทธิเสรีภาพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พวกข้าพหวังว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จะได้อ่านสาร์นนี้ของพวกข้าพเจ้า เพื่อจะได้ร่วมมือกันในปฏิบัติการสร้างสันติสุขและโลกที่งดงาม ตามคำสอนแห่งพระคริสต์ให้บังเกิดขึ้นเป็นจริงทั่วทุกหนแห่งบนโลกใบนี้ ขอพระองค์ทรงเดินทางโดยสวัสดิภาพและขอสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย
22 พฤศจิกายน กรุงเทพฯ
(ขอความเมตตาท่านใดที่แปลสาร์นนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อส่งต่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และเผยแพร่ไปยังคริสตจักรทั่วโลกได้รับรู้ความเป็นจริงในประเทศไทยด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง)
Prakaifai.com
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2562
เรื่อง ความเป็นจริงในประเทศไทยที่ตรงข้ามกับคำสอนพระคริสต์
เรียน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
ในวาระที่ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พระสันตะปาปาลำดับที่ 266 เสด็จเยือนประเทศไทยระหว่าง 20-23 พฤศจิกายน 2562 ตามคำเชิญของรัฐบาลไทย และสภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย นับเป็นความปลื้มปิติไม่เฉพาะในหมู่คริสต์ศาสนิกชน แต่รวมถึงคนไทยทั้งประเทศ
พวกข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนไทยมีความซาบซึ้งที่พระองค์ประทานโอวาทให้ทุกคนตั้งใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่ต้องกลัวเพื่อประวัติศาสตร์ที่สวยงาม สร้างความยุติธรรม ทางสังคม รักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สร้างสังคมสันติสุข ที่ปราศจากความรุนแรง แสวงหาหนทางเพื่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติและรักษาทรัพยากรให้ชีวิตบนโลก แต่ทว่าในประเทศไทย ขณะที่ท่านได้ไปเยือนทำเนียบรัฐบาลโดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถวายการต้อนรับ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นั้น ข้าพเจ้าขอกราบเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะที่เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบกในปี2553อยู่นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำทหารมาใช้ความรุนแรงในการสังหารหมู่คนเสื้อแดงในปี 2553 มีผู้เสียชีวิตถึง 100 คน ในปี 2557 ยังได้ นำกำลังทหารโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น มีประชาชนผู้เห็นต่างไปจากรัฐบาล ต้องถูกอุ้มฆ่า ถูกบังคับสูญหายมีจำนวนถึง 8 คนด้วยกัน แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแต่ทว่าเป็นการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ2560 ที่มีเนื้อหาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร เป็นรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นมาจากคณะรัฐประหาร หาใช่ยกร่างมาจากประชาชนไม่
พวกข้าพเจ้าผิดหวังอย่างแรงที่ ได้เห็นภาพที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้จับมือกับนายกรัฐมนตรีประเทศไทยที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี 2553 และ เป็นผู้นำคณะรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งได้ทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของประเทศไทยจนหมดสิ้น นับเป็นภาพที่จะนำมาสู่ความมัวหมองแห่งคริสต์จักรเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลนี้ยังนำมาสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้ใช้แรงงานต้องว่างงานลง ต้องอดอยากหิวโหย แม้ในส่วนที่กำลังทำงานก็ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเพียงวันละ 325 บาท ที่ไม่พอเพียงต่อการดำรงชีวิตสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เกษตรกรหลายล้านคนล้มละลายจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำกลายเป็นคนมีหนี้สิน สูญเสียที่ดินทำกิน ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปหางานทำในต่างประเทศ
ในด้านความยุติธรรมก็เช่นกันที่ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับความอยุติธรรมของการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ตุลาการในประเทศไทยไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านี้ยังเป็นเครื่องมือเผด็จการในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์สมเด็จพระสันตปาปาฟรังซิสที่ต้องการความยุติธรรมให้บังเกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ประชาชนกว่า 6 ล้านคนให้การยอมรับเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างเช่นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กลับถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาผู้นำประเทศที่ประชาชนให้การยอมรับและมีผลงานเพื่อผู้ยากไร้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างนายทักษิณ ชินวัตรและนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกอำนาจเผด็จการทหารกำจัดออกไปจากประเทศไทย
โอวาทตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า ประชาชนไทยให้ความสำคัญและดูแลผู้สูงอายุ ให้เกียรติและเคารพยกย่องผู้สูงวัย เป็นความจริงที่ผู้สูงวัยได้ทำงานทั้งชีวิตสร้างผลผลิตให้กับสังคมและยังได้เลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโต เป็นพลเมืองประเทศไทย แต่ทว่า ขอกราบเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า คนสูงวัยในประเทศไทยกว่า 3 ล้านคน ได้รับเงินเบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเพียงเดือนละ 600 บาทหรือตกวันละ 20 บาท ไม่พอเพียงสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้ว่า ผู้สูงวัยเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มเงินยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 3000 บาท รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของผู้สูงอายุเหล่านี้ ในขณะเดียวกันกลับใช้งบประมาณมหาศาลไปใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางการทหารอันจะนำมาสู่ความรุนแรงทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
ยังมีอีกความตอนหนึ่งที่กล่าวถึง แผ่นดินไทยเป็นดินแดนอิสรภาพ แต่ทว่าในความเป็นจริงนั้นคนไทยไม่มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น เมื่อประเทศไทยยังมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 อยู่ มีผู้ถูกดำเนินคดีนี้นับพันคน หลายร้อยคนที่ถูกคุมขัง ปราศจากอิสรภาพ โดยมีนักโทษการเมืองในคดีตามมาตรา112ในขณะนี้ถึง 25 คนด้วยกัน
พวกข้าพเจ้ามีความปลื้มปิติ ที่ คริสต์ศาสนิกชนนับหมื่นคนหลั่งไหลมาเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พร้อมด้วยเหล่าพระธรรมทูต บาทหลวง นักบวช ด้วยพิธีอันศักดิ์สิทธิ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้จะไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง หากภาพเหล่านี้ได้กลบเกลื่อนความเป็นจริงของคนไทยที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ตรงข้ามกับคำสอนของพระคริสต์ และตรงกันข้ามกับความปรารถนาของพระเจ้า
พวกข้าพเจ้าหวังว่า พระองค์จะได้รับรู้ความเป็นจริงในประเทศไทยที่ตรงกันข้ามกับคำสอนแห่งพระคริสต์ และนี่ย่อมเป็นภารกิจของคริสตชนในประเทศไทยภายใต้การดำเนินงานของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จะได้ร่วมกันกับประชาชนคนไทยต่อสู้ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากเผด็จการทหาร กำจัดคนชั่วช้าให้ออกไปจากอำนาจการเมืองไทย เพื่อให้ ประชาชนคนไทยได้รับสิทธิเสรีภาพและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พวกข้าพหวังว่าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จะได้อ่านสาร์นนี้ของพวกข้าพเจ้า เพื่อจะได้ร่วมมือกันในปฏิบัติการสร้างสันติสุขและโลกที่งดงาม ตามคำสอนแห่งพระคริสต์ให้บังเกิดขึ้นเป็นจริงทั่วทุกหนแห่งบนโลกใบนี้ ขอพระองค์ทรงเดินทางโดยสวัสดิภาพและขอสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน
สมยศ พฤกษาเกษมสุข
กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย
22 พฤศจิกายน กรุงเทพฯ
(ขอความเมตตาท่านใดที่แปลสาร์นนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อส่งต่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และเผยแพร่ไปยังคริสตจักรทั่วโลกได้รับรู้ความเป็นจริงในประเทศไทยด้วยจักเป็นพระคุณอย่างสูง)