วันอังคาร, มกราคม 29, 2562

ฟันฉัวะ ๑ กุมภานี้แน่แล้ว พลังประชารัฐ ‘เปิดตัว’ ประยุทธ์เป็นนายกฯ


เอ้า เจาะลึกทั่วไทยของสปริงนิวส์ฟันฉัวะ (หยวกกล้วย) ว่า ๑ กุมภานี้แน่แล้ว พลังประชารัฐ เปิดตัวรายชื่อนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรคจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่พลาด

ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ย้ำกับคู่เม้าท์ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ว่า “เขาคุยกันเมื่อคืนนี้ (๒๘ ม.ค.) ที่บ้านนายกฯ ลุงตู่ สะเด็ดน้ำแล้ว” ที่ ประชาชาติธุรกิจ บอกว่า “ที่เห็นอาจไม่ใช่ ที่ใช่อาจไม่เห็น” นั้น ตอนนี้มั่นใจได้เลยไม่หนี ประยุทธ์-อุตตม-สมคิดของตาย

“คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ร่วมหารือที่จะลงมติยังเหลือผู้สมัครอีกเพียง ๑๑ เขต เท่านั้นที่ยังมีปัญหา คาดว่าจะเสร็จภายใน ๒-๓ วันนี้” แต่ที่ดนัยเอาไปเปิดในรายการของเขา อ้างว่ารู้มาจากวงใน เมื่อพรรคแถลงในวันที่ ๑ แล้วจะพากันไปกราบส่งเทียบเชิญประยุทธ์

“นายกฯ ลุงตู่ก็จะ ขอเวลาอีกสักสองสามวัน ขอถามพ่อแม่พี่น้อง” จึงจะยอมรับอย่างทางการ “ตรงนี้แหละที่เขาเรียกพิธีกรรม ที่เขาเรียกจริตจก้านทางการเมือง”

หลังจากที่ สี่รัฐมนตรี (อุตตม สาวนายน สุวิทย์ เมษินทรีย์ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล) พร้อมหน้ากันแถลงลาออกบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนขึ้นไปแจ้งแก่นายกรัฐมนตรี แล้วลงมาให้สัมภาษณ์ “มีผลพรุ่งนี้ พร้อมลุยทำงานการเมืองเต็มตัว”

แถมด้วย สนธิรัตน์ ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคโชว์วิสัยทัศน์นักการเมืองเต็มตัว “ยังไม่เคยมี รมต. คนใดลาออกหลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ประกาศใช้ ตลอดเดือนพวกเรารับแรงกดดันด้วยความอดทน เพราะส่วนใหญ่เป็นคำวิจารณ์ทางการเมืองไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการ

เราไม่ใช้ความได้เปรียบทางการเมืองมาหาประโยชน์ให้ตัวเอง ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง” ว่าเข้านั่น (จาก Weeranan Kanhar @weeranan)

หลักการที่สนธิรัฐอ้างคงจะหมายถึงรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก และระเบียบต่างๆ ที่องค์กร คณะกรรมการ และหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้บงการของ คสช.ถือปฏิบัติ อันล้วนบิดเบี้ยวตามคำสั่งของ คสช.ทั้งสิ้น มาตรฐานใหม่ทางการเมืองของสนธิรัตน์ก็คือ การสร้างและอ้างหลักการที่เอาเปรียบ

อย่างไรก็ดี ในบริบทที่ทำให้จิตสำนึกหงอยและล้าลง ยังมีเสียงแห่งความมุ่งมาดและคาดหวังในทางฮึกเหิมให้เห็นอยู่ไม่ขาด ดังโพสต์ของ Thanapol Eawsakul ตอนหนึ่งเมื่อวานนี้ เรื่องที่พูดกันมากว่า อย่างไรเสียพลังประชารัฐก็มา

ธนาพลบอกว่าเขา เห็นต่างข้อหนึ่ง “ในความหมายว่า ๒๕๐ เสียงของ สว. เป็นเอกภาพ ซึ่งก็ไม่จริง” ซึ่งถ้าเกิดพลิก รัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นของปีกประชาธิปไตยล่ะ “ผมคิดว่าจะเป็นหนึ่งในรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด”

ธนาพลเอาตัวเลขคณิตศาสตร์มายัน “จะเป็นรัฐบาลผสมที่ได้คะแนนรวมกันมากที่สุด ระดับมากกว่า ๗๐% หรือมากกว่า ๒๕ ล้านเสียง (ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ ๗๕% จาก ๕๑ ล้านเสียง คือ ๓๘.๒ ล้านเสียง)”

เป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า สู้ได้ในเมื่อสมัยที่รัฐบาลไทยรักไทยชนะเลือกตั้งนั่นพรรคเดียวได้ ๑๙ ล้านเสียง แต่นี่ระบบเลือกตั้งอย่างแบ่งสรรปันส่วนที่บริกรของ คสช.คิดค้นกันขึ้นมาตีกันไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งชนะโด่ง การเฉลี่ยกลับจะทำให้คะแนนรวมมากขึ้นไปอีก

ธนาพลอาจฝันไกลไปหน่อยว่า หากปีกประชาธิปไตยมัดหวายร่วมกันเป็นปึกแผ่น จะแข็งแกร่งทานแรงพลังวิเศษของรัฐประหารได้ “ยุทธศาสตร์ชาติ ไม่มีความหมาย เป็นเพียงเอกสารที่จะเผาไปกับศพของผู้เขียนมันมา...องค์กรอิสระไม่มีน้ำยา ที่จะมาขัดแข้งขัดขานักการเมืองอีกต่อไป”


ทว่าการมองโลกให้สวยในยามที่ฝุ่นละอองปกคลุมท้องฟ้า น่าจะทำให้มีพลังใจต่อสู้และแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ชัดเจนดีกว่า ปล่อยหมอกฝุ่นที่บังตามาอุดตันความคิดจิตใจเสียอีก