เอ้า ‘เจาะลึกทั่วไทย’ ของสปริงนิวส์ฟันฉัวะ
(หยวกกล้วย) ว่า ๑ กุมภานี้แน่แล้ว พลังประชารัฐ ‘เปิดตัว’
รายชื่อนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรคจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ไม่พลาด
ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ย้ำกับคู่เม้าท์ อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์
ว่า “เขาคุยกันเมื่อคืนนี้ (๒๘ ม.ค.) ที่บ้านนายกฯ ลุงตู่ สะเด็ดน้ำแล้ว” ที่ ‘ประชาชาติธุรกิจ’ บอกว่า “ที่เห็นอาจไม่ใช่ ที่ใช่อาจไม่เห็น” นั้น ตอนนี้มั่นใจได้เลยไม่หนี
‘ประยุทธ์-อุตตม-สมคิด’
ของตาย
“คณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ
ร่วมหารือที่จะลงมติยังเหลือผู้สมัครอีกเพียง ๑๑ เขต เท่านั้นที่ยังมีปัญหา
คาดว่าจะเสร็จภายใน ๒-๓ วันนี้”
แต่ที่ดนัยเอาไปเปิดในรายการของเขา อ้างว่ารู้มาจากวงใน เมื่อพรรคแถลงในวันที่ ๑
แล้วจะพากันไปกราบส่งเทียบเชิญประยุทธ์
“นายกฯ ลุงตู่ก็จะ ขอเวลาอีกสักสองสามวัน
ขอถามพ่อแม่พี่น้อง” จึงจะยอมรับอย่างทางการ “ตรงนี้แหละที่เขาเรียกพิธีกรรม ที่เขาเรียกจริตจก้านทางการเมือง”
หลังจากที่ สี่รัฐมนตรี (อุตตม สาวนายน สุวิทย์ เมษินทรีย์
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล)
พร้อมหน้ากันแถลงลาออกบริเวณหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนขึ้นไปแจ้งแก่นายกรัฐมนตรี
แล้วลงมาให้สัมภาษณ์ “มีผลพรุ่งนี้ พร้อมลุยทำงานการเมืองเต็มตัว”
แถมด้วย สนธิรัตน์
ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคโชว์วิสัยทัศน์นักการเมืองเต็มตัว “ยังไม่เคยมี รมต.
คนใดลาออกหลัง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งฯ ประกาศใช้ ตลอดเดือนพวกเรารับแรงกดดันด้วยความอดทน
เพราะส่วนใหญ่เป็นคำวิจารณ์ทางการเมืองไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักการ
เราไม่ใช้ความได้เปรียบทางการเมืองมาหาประโยชน์ให้ตัวเอง
ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ทางการเมือง” ว่าเข้านั่น (จาก Weeranan Kanhar @weeranan)
‘หลักการ’ ที่สนธิรัฐอ้างคงจะหมายถึงรัฐธรรมนูญ
กฎหมายลูก และระเบียบต่างๆ ที่องค์กร คณะกรรมการ และหน่วยงานต่างๆ
ที่อยู่ภายใต้บงการของ คสช.ถือปฏิบัติ อันล้วนบิดเบี้ยวตามคำสั่งของ คสช.ทั้งสิ้น
มาตรฐานใหม่ทางการเมืองของสนธิรัตน์ก็คือ การสร้างและอ้างหลักการที่เอาเปรียบ
อย่างไรก็ดี ในบริบทที่ทำให้จิตสำนึกหงอยและล้าลง
ยังมีเสียงแห่งความมุ่งมาดและคาดหวังในทางฮึกเหิมให้เห็นอยู่ไม่ขาด ดังโพสต์ของ Thanapol
Eawsakul ตอนหนึ่งเมื่อวานนี้ เรื่องที่พูดกันมากว่า
อย่างไรเสียพลังประชารัฐก็มา
ธนาพลบอกว่าเขา ‘เห็นต่าง’ ข้อหนึ่ง “ในความหมายว่า
๒๕๐ เสียงของ สว. เป็นเอกภาพ ซึ่งก็ไม่จริง” ซึ่งถ้าเกิดพลิก
รัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นของปีกประชาธิปไตยล่ะ “ผมคิดว่าจะเป็นหนึ่งในรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด”
ธนาพลเอาตัวเลขคณิตศาสตร์มายัน “จะเป็นรัฐบาลผสมที่ได้คะแนนรวมกันมากที่สุด
ระดับมากกว่า ๗๐% หรือมากกว่า ๒๕ ล้านเสียง (ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ ๗๕% จาก ๕๑ ล้านเสียง คือ ๓๘.๒ ล้านเสียง)”
เป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า ‘สู้ได้’
ในเมื่อสมัยที่รัฐบาลไทยรักไทยชนะเลือกตั้งนั่นพรรคเดียวได้ ๑๙
ล้านเสียง แต่นี่ระบบเลือกตั้งอย่างแบ่งสรรปันส่วนที่บริกรของ
คสช.คิดค้นกันขึ้นมาตีกันไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งชนะโด่ง
การเฉลี่ยกลับจะทำให้คะแนนรวมมากขึ้นไปอีก
ธนาพลอาจฝันไกลไปหน่อยว่า หากปีกประชาธิปไตยมัดหวายร่วมกันเป็นปึกแผ่น
จะแข็งแกร่งทานแรงพลังวิเศษของรัฐประหารได้ “ยุทธศาสตร์ชาติ ไม่มีความหมาย
เป็นเพียงเอกสารที่จะเผาไปกับศพของผู้เขียนมันมา...องค์กรอิสระไม่มีน้ำยา
ที่จะมาขัดแข้งขัดขานักการเมืองอีกต่อไป”
ทว่าการมองโลกให้สวยในยามที่ฝุ่นละอองปกคลุมท้องฟ้า
น่าจะทำให้มีพลังใจต่อสู้และแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ชัดเจนดีกว่า ปล่อยหมอกฝุ่นที่บังตามาอุดตันความคิดจิตใจเสียอีก