พวกหัวๆ ของ คสช.นี่ นอกจากขาดแคลนวิสัยทัศน์แล้วยังต่ำตมทางวุฒิภาวะอีกด้วย
ตัวหัวหน้าชอบทำจำอวดในที่สาธารณะก็เหลือทนแล้ว
พี่ใหญ่ตัวรองจะตอบคำถามเรื่องกิจการบ้านเมืองอะไร
ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็ใช้เล่นลิ้นเอา
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องระเบิดโรงแรมดุสิตธานีดี ๒ ในเคเนียที่ว่า
ทำไมผู้ก่อการร้ายถึงได้พุ่งเป้ามาที่โรงแรมของไทย ทั่นรองนายกฯ
ฝ่ายความมั่นคงตอบว่า “ก็ไม่รู้สิ อาหารอร่อยมั้ง”
ยังมีอีก ต่อกรณีปัญหาวิกฤตสภาพบรรยากาศในกรุงเทพฯ
มีฝุ่นละอองขนาดจิ๋วจำนวนมากเกินความปลอดภัยของสุขภาพประชากร
ซึ่งในทางวิชาการยอมรับว่าเกิดจากการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่จำนวนมาก
โดยเฉพาะการขุดอุโมงก์สำหรับรถไฟฟ้าทำให้ฝุ่นละอองคลุ้งทั่วกรุง
นอกจากนั้นยังมีปัญหาสะสมของอากาศพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ที่ล้นกรุงเทพฯ
จำเพาะอย่างยิ่งอีกว่าเครื่องยนตร์ดีเซลเป็นตัวการสำคัญ
รายงานโดย ‘ไอลอว์’ ที่เว็บเพจ ‘ไอสเปช’ (http://www.ispacethailand.org/political/17717.html) นำเสนอ
ระบุว่า คสช.ใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๔๔ ออกคำสั่งที่
๔/๒๕๕๙
“เปิดทางให้เอกชนสามารถตั้งโรงงานหลายประเภท เช่น
โรงงานเผาขยะ โรงงานไฟฟ้า โดยไม่ต้องสนใจกฎหมายและกฎระเบียบใดใด”
“การยกเลิกกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ
ในการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหลายชนิด รวมถึง โรงเผาขยะ และโรงไฟฟ้า
โดยอ้างการแก้ไขปัญหาความต้องการพลังงานไฟฟ้า
และการทำลายขยะจากปัญหาขยะที่ล้นเมือง” เป็น “แหล่งที่มาของฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่
กรุงเทพมหานคร
หลักๆ” ๕ อย่าง คือ การเผาชีวมวล ๓๕.๕% ไอเสียดีเซล ๒๐.๘% ฝุ่นทุติยภูมิ (ไอเสีย+แอมโมเนีย) ๑๕.๘% และจากโรงงาน ๓.๔% นอกนั้นจากสาเหตุอื่นๆ ๒๔.๕%
ครั้นนักข่าวถามรองหัวหน้า คสช. รมว.กลาโหม
และรองนายกรัฐมนตรี (คนเดียวกินเงินเดือนสามทาง)
เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละอองที่เกิดจากการก่อสร้างในกรุงเทพฯ คนยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองตอบว่า
“เชื่อว่าหากการก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายเสร็จสิ้นในห้วง ๒-๓ ปี
จะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองได้”
เป็นการพูดอย่างไร้วุฒิภาวะ หนักเสียยิ่งกว่าอธิบดีกรมควบคุมมลพิษที่เคยบอกว่า
กทม.ทำการฉีดน้ำและรัฐบาลทำฝนเทียมแล้ว อีกสองสามเดือนปัญหาก็จะหมดไป
หาคิดได้ไม่ว่าฝุ่นละอองที่เป็นพิษจะยังคงติดอยู่ตามต้นไม้ อาคาร และผืนดินอีกนาน
กว่าชีวิตของพวกผู้บริหารบ้านเมืองเหล่านี้เสียอีก