วันพุธ, มกราคม 30, 2562

พรรค ‘ปลาซิวปลาสร้อย’ คือความหวังของการปลดแอก คสช. ด้วยปากกา

ว่ากันตามหน้าตักแห่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองไทยในสองถึงห้าปีข้างหน้า ว่าจะยังคงจมปลักกับอำนาจนิยมในคณะทหารและศักดินา หรือเปิดศักราชใหม่สู่แนวทางประชาธิปไตยที่เปิดกว้างยิ่งกว่ายุคก่อนรัฐประหาร

อยู่ที่พรรคเล็กพรรคน้อย ปลาซิวปลาสร้อย ของแต่ละฝักฝ่าย ที่ว่านอกจากแสดงตนตามแนวอุดมการณ์ อำนาจนิยมกับประชาธิปไตยเปิด แล้วยังคลุกคล้าเกี่ยวพันกับสองขั้วการเมืองสองระบอบชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น  คสช.หรือ ทักษิณ

เนื่องเพราะระบบเลือกตั้งแบบแบ่งสรรปันส่วนที่บริกรกฎหมายของ คสช.ออกแบบมาให้ใช้ จะทำให้ไม่มีพรรคใดชนะถล่มทลายอย่าง ‘Landslide’ ได้อีก หรือ ยากมากๆ พรรคย่อยๆ ในแต่ละฟากจึงเป็นตัวชี้บ่งหลังทราบคะแนน ว่าฝ่ายไหนได้อำนาจต่อรองมากกว่ากัน

แม้จะมีบางพรรคอ้างตนเป็นเอกเทศไม่เข้าข้างใคร บางพรรคพยายามแสดงตัวให้พร้อมเป็นที่ยอมรับได้ของแต่ละฝ่าย แต่สายพันธุ์เบื้องลึกบ่งชัดว่าลงไปใต้ผิวหนังว่าพรรคนั้นๆ อิงอยู่กับฝ่ายใด

หากเปรียบการเลือกตั้งนี้เป็นการสู้ศึก บรรดาทัพหน้า ทัพหลัง และพลรบกองโจรของแต่ละฝั่งจะเป็นกำลังสำคัญต่อชัยชนะของทัพหลวง

ในที่นี้จะเอ่ยถึงพรรคปลาซิวปลาร้อยเพียงบางราย ซึ่งอยู่ในแนวทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ‘inflict’ ต่อพรรคใหญ่ฝ่ายตรงข้ามได้

ในฝักฝ่ายของ คสช. นอกจากพรรคพลังประชารัฐแล้วยังมีพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ที่เป็นความหวังว่าจะเสริมเติมคะแนนเสียงในสภาผู้แทนให้ได้ถึง ๑๒๖ เสียง เพื่อที่ (อย่างน้อยๆ) สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเมื่อรวมคะแนนกับพลังประชารัฐแล้ว ขณะที่พรรคของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ไร้ความหมาย

ความหวังของ รปช.ซึ่งมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นตัวตั้งตัวตียิ่งริบหรี่ลงทุกวัน การออกเดินหาเสียงถึงประตูบ้านที่สุเทพเรียกตัวเองว่า คารวะแผ่นดิน ได้พบกับการตะโกนไล่ ชี้หน้าด่า เอานกหวีดไปคืน หรือเพียงทำหน้าบึ้งตึงใส่ไม่ยอมพูดด้วย

ดูจากโพสต์ของ โหดสัสไล่เรียงรายการที่สุเทพถูกชาวบ้านต่อต้านที่จังหวัดน่านแล้ว ดูท่าพรรคที่มุ่งหมายแรงหนุนจากอดีต กปปส.ของเขา จะนำความผิดหวังมาให้หัวหน้า คสช.อย่างแรง มิใยที่เขาพยายามบิดเบือนไปว่า มีการจ้างวานไปก่อกวน

ความเพลี่ยงพล้ำของ รปช. มาถูกซ้ำ ดั้มพลอย เข้าอีกเมื่อ พะเยาไม่ปลื้มจากการที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๑ ของพรรค รปช.ที่นั่น ประกาศถอนตัวกระทันหัน หลังจากแนะนำตัวได้ ๒ วัน ถูกกระแสโซเชียลแสดงความเห็นต่อต้านอย่างหนัก

บางความคิดเห็นถึงขั้นต่อว่านำนามสกุลไปทำให้เกิดความเสียหาย ครอบครัวก็ไม่เห็นด้วย จะมีเพียงพี่น้องบางคนที่ให้กำลังใจว่าตนเป็นนักสู้” น.ส.ภาสิณี รวมสุข เผยใจในสาเหตุที่ต้องถอนตัว “เพื่อความสบายใจของครอบครัว ญาติพี่น้อง และลดกระแสต่อต้านลง ตลอดจนได้พักผ่อนร่างกายที่ไม่พร้อม”

ทางด้านพรรคพลังประชารัฐเอง การณ์กลับเป็นว่าบางส่วนของ กปปส. และฝ่ายตรงข้ามของระบอบทักษิณ กลายเป็นหนามยอกอกไปเสียนี่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นคนหนึ่งที่ปักหลักค้านพรรคพลังประชารัฐอย่างแน่นหนัก
 
ล่าสุดเขาโพสต์เฟชบุ๊ค “ขอเรียกร้องเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้รักชาติ พระมหากษัตริย์และประชาชนทั้งหลาย คว่ำบาตรพรรคพลังประชารัฐและพลเอกประยุทธในการเลือกตั้ง” ถึงขนาดใช้ถ้อยคำหักโหมในโพสต์ต่อมาว่า

กเฬวราก พรรคการเมืองของมาเฟียและทาสรับใช้นายทุน เพื่อแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของประชาชน” โดยไม่อาจชี้ชัดเจตนาเบื้องลึกแท้จริงได้ นอกจากทำนายว่าเขาต้องการเบนคะแนนเสียงจากหมู่คนที่ต่อต้านระบบอบทักษิณ (นัยหนึ่ง สลิ่ม) หันไปเทคะแนนแก่พรรคประชาธิปัตย์ ที่กระแส อ่อนเปลี้ยเหลือหลาย
 
เช่นเดียวกับท่าทีของ อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศจะแข่งเป็นนายกฯ กับประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีอะไรมากไปกว่าเตรียมตัวไว้ต่อรองเอากระทรวงเกรดเอแบบ ปชป.

ทางฝั่งระบอบทักษิณนั่นเล่า กลับปรากฏว่าพรรคไทยรักษาชาติเอย พรรคประชาชาติ (ของวัน นอร์ มะทา) เอย หรือพรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวส แม้แต่พรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ดูจะไปกันได้ดีได้ดีตามคาดว่าจะได้คะแนนเสียงกันพรรคละ ๒๐ ถึง ๔๐ ถ้าไปรวมกับพรรคเพื่อไทย มีทางได้ถึง ๓๐๐ เสียง หรืออย่างน้อย ๒๘๐ เสียงดังที่วันนอร์คาดหวัง
 
ทางพรรคสามัญชน พรรคใหม่เอี่ยมของฝั่งประชาธิปไตยที่เสนอตัวเป็นฝ่ายก้าวหน้าซ้ายจัด “และยืนหยัดเพื่อความเสมอภาคและเสรีภาพในการแสดงออก” แม้จะไม่สามารถเป็นความหวังเสริมพลังระบอบทักษิณได้ เพราะคาดกันว่าอาจได้ ส.ส.เพียง ๑ หรือ ๒ คนแบบพรรคของไพบูลย์

พรรคนี้ได้ประกาศส่งผู้สมัคร ๑๗ เขตเลือกตั้ง และ ๕ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จนขณะนี้ยังไม่สามารถกำหนดตัวผู้สมัครในเขตกรุงเทพมหานครได้ แต่เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคก็ยังหวังว่าเวลาไม่กี่อาทิตย์ที่เหลืออยู่จะหาเสียงสนับสนุนพรรคได้เพียงพอส่งผู้สมัครใน กทม.


รูปการณ์ในภาพรวมของหนทางการเมืองไปสู่การเลือกตั้ง จึงเห็นได้ว่าไม่เลวเลยสำหรับความมุ่งหวังที่จะปลดแอก คสช. และคณะรัฐประหารไปจากการเมืองไทยด้วยปากกาขีดเครื่องหมายลงบนบัตรคะแนนเสียง