มาช้าดีกว่า ‘หลงลืม’ วินธัย
กำลังพลฝ่าย ‘เห่า’ ของ คสช.
ปฏิบัติการ (ที่ภาษาสากลเรียกว่า) ‘Damage Control’ เมื่อกลุ่มคนอยากเลือกตั้งไม่ลดละ
จัดชุมนุมเรียกร้อง ‘ไม่เลื่อนเลือกตั้ง’ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อชี้หน้านักรัฐประหารว่าพอกันทีกับการปลิ้นปล้อนยื้อเวลา
ไม่ยอมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสียงชี้ชะตาตนเอง
สถานการณ์เพลี่ยงพล้ำของฝ่ายรัฐประหาร
แม้กระทั่งได้ใช้อำนาจอิทธิพลกีดกันพรรคการเมืองฟากประชาธิปไตยในการปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดพะเยาแล้ว
การลงพื้นที่พบประชาชนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด
ตีกลับแสกหน้าพรรค คสช. ชนิดแตกไม่เย็บ
จากรีทวี้ตของ @moui เมื่อวาน “ลุงเค้าเห็นภาพนี้ยังอ่าาา”
เป็นภาพที่มีคำบรรยายว่า “อยู่เบื้องหน้าของหน่อย
ย้ำถึงพันธกิจที่สำคัญของพรรคเพื่อไทย นั่นคือนำพาประเทศออกจากความล้าหลัง ล้มเหลว
ถดถอยสิ้นหวัง...”
รายละเอียดของภาพจาก @TV24Official ชี้ว่า “ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยพร้อมคณะ
เดินทางลงพื้นที่พบปะประชาชนที่ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด โดยมี นายนิรมิต สุจารี อดีต
ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และประชาชนจำนวนมากให้การต้อนรับ”
นั่นย่อมแสดงให้ประจักษ์แล้วว่า
ความต้องการเลือกตั้งของประชาชนล้นหลาม เกินกว่าสันดานเดิมของฝ่ายทหารที่จะอ้างสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือครอบงำประชากรต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดด้วยแนวทางเผด็จการ ‘ตอแหล’ ได้
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. อ้าง “การเตรียมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก”
อย่างด้านได้ว่า “สังคมไทยจะมองการตั้งใจเคลื่อนไหวอย่างมีนัยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
ด้วยความรู้สึกกังขาและมองว่าไม่เหมาะไม่ควร...เพราะเป็นอารมณ์ประชาธิปไตย ที่ใครๆ
ก็มีสิทธิจะเกิดความรู้สึกแบบนั้นขึ้นได้”
พร้อมทั้งใส่ไคล้ว่า “ความเคลื่อนไหวบางอย่างได้กลายเป็นอาชีพหนึ่งไปเสียแล้ว”
มิหนำซ้ำวินธัยใช้วิชา ‘ตระบัด’ ลิ้น
กล่าวหาฝ่ายต้องการเลือกตั้งว่า “ชูประเด็นว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแล้วผลักผู้อื่นให้ไปอยู่ตรงข้าม
อาจมองได้ถึงวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยที่กำลังบกพร่องก็เป็นได้” เสียด้วย
นี่ละตรรกะของเผด็จการทหารไทยรุ่น ‘นูโว’
สามารถบิดเบี้ยวการใช้สิทธิออกเสียงของความเป็นมนุษยชนว่าเป็นเรื่อง
‘บกพร่อง’ ผลิตคารม ‘บ่อนไส้’ ให้หลักการประชาธิปไตยแบบไทยๆ หมายถึง
การหุบปากยอมศิโรราบต่อคณะยึดอำนาจเท่านั้น
ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการปกครองของคณะทหารที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลเลือกตั้ง
ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ท่ามกลางการโฆษณาชวนเชื่อว่าหลังจากใช้เวลาเกือบห้าปีผลาญเงินงบประมาณไปหลายแสนล้าน
เสียงจากประชากรในระดับรากหญ้ายังคงร่ำร้องกันว่า
“เศรษฐกิจแย่ จะตายกันหมดแล้ว” ‘case in point’ เฉพาะกรณีการค้าปลีกในตลาดนครพนม
จากข้อเขียนของเว็บ ‘ภูมิปัญญาชาวบ้าน’
นางเปรี้ยว รมณ์บัวรอด วัย ๕๓ ปี แม่ค้าขายวัวเผาในตลาดสดเทศบาลเมือง
ถนนอภิบาลบัญชา ใจกลางย่านเศรษฐกิจตัวเมืองนครพนม บอกกับผู่สื่อข่าว นสพ.ข่าวสดว่า
เมื่อก่อน ‘ขายดี’ ยอดพุ่งวันละ ๑ หมื่นบาท
พอมีกำไรเหลือวันละ ๒-๓ พันบาท
เดี๋ยวนี้จะหวังยอดขายวันละ ๒ พันบาทยังยาก “วันนี้เพิ่งขายได้แค่
๒๐๐ บาท ค้าขายเงียบเหงามาตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ และซบเซาเรื่อยมาได้ ๔-๕ ปีแล้ว
ติดหนี้ค่าไฟเทศบาลฯ ๑,๘๐๐ บาทแล้ว
เงินที่เก็บไว้ลงทุนก็ร่อยหรอเมื่อไม่มีกำไรและขาดทุนมาตลอด
วันนี้รถที่เคยมีและที่ดินที่เคยซื้อไว้
ก็ได้ขายมาลงทุนแต่ขายของไม่ได้...อยากบอกรัฐบาลว่าวันนี้แม่ค้าในตลาดสดแห่งนี้
จะตายกันหมดอยู่แล้ว”
และที่จะตายกันในไม่ช้าจากปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองขนาดจิ๋วในกรุงฯ
ที่กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าช่วงเดือนธันวาคม (๖๑) ถึงเมษายน (๖๒)
เป็นช่วงเกิดสถานการณ์ ที่มีหลักปฏิบัติกำหนดไว้แล้ว
เช่นเดียวกับช่วงเดือนพฤษภาคมในระหว่างราชพิธีราชาภิเษก เป็นช่วงหลังสถานการณ์ที่มีมาตรการระยะยาววางไว้เช่นกัน
ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานาน ๒๐ ปี รอให้
คสช.ล้มหายตายจากไปให้หมดเสียก่อนจึงจะเห็นผลก็ได้
ส่วนช่วงก่อนสถานการณ์ที่
คพ.ระบุว่าเป็นระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน (๒๕๖๑) นั้นน่าจะสั้นไปเยอะ
เพราะภาวะฝุ่นละอองขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพนี่ใช้เวลาสั่งสมหลายปี
ช่วงสี่ห้าปีที่ คสช.ครองเมืองนี่ก็เพียงพอจุดติดได้ ถ้าไม่รู้สีสา
เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
แม้แต่เหตุเตือนสำนึกจากกรณี ‘หมู่บ้านป่าแหว่ง’
ของตุลาการที่ดอยสุเทพ เชียงใหม่ ซึ่งชาวเมืองรณรงค์ต่อต้านเพราะเห็นแจ้งว่าเป็นการทำลายระบบนิเวศวิทยา
เนื่องจากชาวเชียงใหม่ประสบปัญหาหมอกควันกันมาก่อนนานนมแล้ว
เรื่องของเรื่องเนื่องจากพวกเผด็จการนูโว คสช.ของวินธัย วิสัยทัศน์สั้น
ภูมิปัญญาหางอึ่ง จึงปล่อยให้วิกฤตเกิดขึ้นในใจกลางกรุงฯ จนได้
หากยังคิดจะเล่นการเมืองต่อไปอีก ๒๐
ปีดังที่ตั้งเป้าไว้ด้วยกฎหมายศรีธนญชัยของพวกตน พรรค คสช.
ไม่ว่าจะพลังประชารัฐหรือพลัง กปปส.
ต้องเอาอย่างความว่องไวทางวิสัยทัศน์ของพรรคการเมืองรุ่นใหม่บางราย
“#พรรคอนาคตใหม่
จัดกิจกรรม ‘อนาคตใหม่ใส่ใจสุขภาพ’ แจกหน้ากากอนามัยให้ประชาชน รณรงค์สร้างความตระหนักเรื่องฝุ่น PM2.5 ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ” ดูเหมือนจะยังไม่มีพรรคการเมืองใด
ใหม่หรือเก่าจับประเด็นได้รวดเร็วอย่างพวกเขา
“'หมอเก่ง
วาโย' รองโฆษก #พรรคอนาคตใหม่ ระบุ
เราต้องตระหนก หากรัฐบาลยังไม่ตระหนักแก้ปัญหานี้ฝุ่นละออง PM 2.5 อย่างจริงจัง พรรคฯ จึงเดินหน้าแจกหน้ากากอนามัย ชนิด N95 รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักเรื่องปัญหาฝุ่นละออง” (จากทวี้ตของ Weeranan
Kanhar @weeranan)
หมอเก่ง นี่เก่งแค่ไหนไม่รู้นะ แต่จับกระแสได้ทันทีทันควัน
ก็จัดว่าทำงาน ‘รองโฆษก’ ได้ผล ล้ำหน้าโฆษก
คสช.ไปแล้วหลายขุม