ใต้อุ้งรัฐบาลทหารต้องอยู่กันอย่างนี้เหรอ คือคำถามตอบคำถาม
‘เฮียตู๊บ’ ที่ว่า “ผมลาออกแล้วใครจะทำ” และ “ไม่มีทหารแล้วจะอยู่กันอย่างไร”
เรื่องในประเทศ “คพ.เผยค่าฝุ่นเช้านี้ เกินทุกสถานี พระราม ๒
หนักสุด” ข่าวมติชนเช้าวันที่ ๒๙ มกราคม ขณะที่สื่อแหล่งเดียวกันเสนออีกข่าว “ปิ๊งไอเดียแก้ฝุ่น...มอบบิ๊กป้อมแก้ปัญหาฝุ่นพิษ
พ่นน้ำจากตึกใบหยก”
ทำให้ sirote
klampaiboon @sirotek มีคอมเม้นต์ “ใครอยู่ประตูน้ำก็อย่าตกใจว่าทำไมสงกรานต์ปีนี้มาเร็ว
ส่วนคนที่สงสัยว่า PM 2.5 เยอะแถวพระรามสองแถวกาญจนาภิเษก
จะฉีดน้ำจากใบหยกไปเพื่ออะไร ขอร้องว่าอย่าถามครับ เดี๋ยวนายกจะไล่ให้ไปดูแลตัวเอง”
เพราะมีกำลังอำนาจสามารถยึดเอาบ้านเมืองมาปกครองเอง จึงไม่รู้ตัวว่าตนคือปัญหา
ปล่อยอะไรออกมางั่งๆ สม่ำเสมอ ด้วยวาทกรรมซ้ำซาก “ใครจะช่วยประชาชนเวลาเดือดร้อน
ทั้งเวลามีอุบัติภัยหรือภัยพิบัติก็มีแต่ทหารที่เป็นลูกหลานท่านทั้งนั้นที่เข้าไปช่วยเหลือ”
คำถามจากการ์ตูนล้อเลียน “แล้วถ้าอาชีพอื่นๆ
เค้าถามงี้บ้างอะ” พยาบาล คนขับรถเมล์ คนขายอาหารตามสั่ง พนักงานเซเว่นฯ บ้างล่ะ “จะอยู่กันอย่างไร”
แล้วกรณีที่เตรียมตัวจะเป็นแคนดิเดทของพรรคการเมืองลิ่วล้อ
ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีอีกยก โดยไม่ยอมผันตัวเองไป ‘รักษาการ’ ระหว่างเลือกตั้ง ทั้งขาดมารยาทอันควรทางการเมืองในโลกศิวิลัย และเอาเปรียบคู่แข่งขันที่เสียเปรียบจากกฏระเบียบที่พวกตนขีดกั้นไว้ให้ด้วยแล้ว
อย่างนี้จะต้องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้วิธี ‘ยึด’ คืนแบบที่ตนทำมาละหรือ จึงจะได้สำนึกและยุติหลงตัวเองเสียที
ในโลกสมัยใหม่แม้จะเป็นที่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เหมาะควรที่สุดเพื่อการอยู่ร่วมกันต่อไปยาวนานอย่างสันติสุข
แต่การประท้วง คัดค้าน และต่อต้าน หรือกระบวนการ ‘Resistance’ ก็ยังจำเป็นและได้ผล สถานการณ์ใกล้มิคสัญญีในเวเนซูเอล่า
ทำให้ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐแสดงบทบาทแทรกแซง แม้จะดูลูกผีลูกคนอยู่
ก็มองเห็นหนทางของการอยู่ร่วมกันโดยสันติของสองฝ่ายในประเทศได้
จึงมาถึงภาวะความล้มเหลวด้านกิจการระหว่างประเทศของรัฐบาล
คสช. นับแต่กรณีแรงงานประมง โรฮิงญา ผู้ลี้ภัยอัยกูร์ สาวซาอุดิฯ ลี้ภัย
มาถึงนักฟุตบอลชาวบาห์เรน ฮาคิม อัล-อาไรบิ
ที่ถูกทางการไทยควบคุมตัวไว้เตรียมส่งกลับไปให้ประเทศของเขาลงโทษ
เป็นการปฏิบัติที่ฝ่าฝืนหลักการสิทธิมนุษยชนสากลอีกครั้งโดยรัฐบาล
คสช. จนนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียต้องประกาศเข้าแทรกแซง
เรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวเขาเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย
สถานที่ซึ่งเขาได้รับอนุญาตให้ทำการลี้ภัยได้แล้ว
ข้อเท็จจริงก็คือ
ฮาคิมได้รับวีซ่าให้อยู่อาศัยในออสเตรเลียภายใต้การปกป้องในฐานะผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี
๒๕๖๐ หลังจากที่เขาหลบหนีการจับกุมของรัฐบาลบาห์เรนไปอยู่ที่นั่นแล้วสามปี
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเขาเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับภรรยาในประเทศไทย
และถูกรัฐบาล คสช.จับตัวควบคุมไว้เตรียมส่งกลับไปให้รัฐบาลบาห์เรนดำเนินคดี
ข้อเท็จจริงยิ่งกว่านั้นมีอีกว่า “เขาถูกจับกุมเป็นครั้งแรกที่บาห์เรนเมื่อปี
๒๕๕๕ และบอกว่าเขาได้ถูกทรมานระหว่างการควบคุมตัว อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของน้องชายของเขา
ในปี ๒๕๕๗ เขาถูกศาลตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมว่ามีความผิดฐานทำลายโรงพัก
ซึ่งในขณะที่เกิดเหตุนั้น อัล
อาไรบีอยู่ระหว่างเล่นฟุตบอลที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ด้วย ถึงอย่างนั้น
ศาลตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุก ๑๐ ปี โดยเป็นการพิจารณาลับหลัง และต่อมาในปี ๒๕๕๗ เขาได้หลบหนีไปออสเตรเลีย”
แม้นว่าฮาคิมเล่นฟุตบอลสโมสรอาชีพของออสเตรเลีย และ “เขายังคงแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบาห์เรนอย่างเปิดเผย”
ก็ตาม ไม่ใช่กงการอะไรของรัฐบาลไทยจะต้องจับตัวเขาส่งให้ประเทศต้นทาง ในเมื่อ
“ประเทศไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งกลับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ”
ดังแถลงการณ์ขององค์การฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์เรียกร้อง
(https://www.hrw.org/th/news/2019/01/29/326946, https://www.smh.com.au/politics/federal/scott-morrison-intervenes-in-hakeem-al-araibi-case-20190129-p50, https://www.matichon.co.th/politics/news_1340032, https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1339208, https://www.prachachat.net/politics/news-283485, และ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2159743010750812&set=a.440635312661599&type=3)
เพียงแค่สองกรณีที่อ้างข้างต้นก็พอตอกย้ำได้ว่า
การอ้างว่าคณะทหารและรัฐบาล คสช. ค้ำบ้านครองเมืองมากว่าสี่ปี ‘ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง’
ทั้งการดึงดัน “ลาออกแล้วใครจะทำ เป็นนายกฯ อยู่นี่แหละ กฎหมายไม่ได้ให้ออก
ก็ไม่ออก”
กฎหมายที่เขียนเองเออเองน่ะหรือ
นี่คือเผด็จการชั่วร้ายยิ่งกว่าใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่เพียงเหี้ย
มโหดเข่นฆ่าพวกเห็นแย้ง (โดยวิธีลอบกัด) แล้วยังปลิ้นปล้อนกะล่อน ไร้ยางอาย